คอลัมนิสต์

เปิดศึก 2ขั้ว"ยากัญชาไทย"หมอพื้นบ้านหรืออำนาจทุน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

กลายเป็นคดีดังขึ้นมาทันที หลังจากตำรวจ "ป.ป.ส." บุกค้นมูลนิธิข้าวขวัญสุพรรณบุรี ยึดต้นกัญชา 200 ต้น กับ "น้ำมันยากัญชา" เมื่อ 3 เมษายน ที่ผ่านมา

 

เพราะการบุกทะลวงมูลนิธิชื่อดังพร้อมจับกุมเจ้าหน้าที่ไปคุมขังในเซฟเฮ้าส์นานเกือบ 10 วันนั้น ตำรวจคงรู้ดีแก่ใจว่าคดีนี้ไม่แฮปปี้เอนดิ้งแน่นอน !

 

"อ.เดชา"แถลงอย่างเป็นทางการหลังกลับถึงไทย 

 

 

 เปิดศึก 2ขั้ว"ยากัญชาไทย"หมอพื้นบ้านหรืออำนาจทุน

 

ล่าสุด เครือข่ายภาคประชาชน ชาวบ้าน นักวิชาการ แพทย์ นักการเมือง เหล่าคนมีชื่อเสียงต่างพากันออกมา ติดแฮชแท็ก #SaveDecha เพื่อช่วย “อาจารย์เดชา ศิริภัทร” ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้เป็นประธานมูลนิธิ ซึ่งอยู่ต่างประเทศแต่กำลังจะกลับมา และ #SaveSong หรือพี่ซ้ง “พรชัย ชูเลิศ” ผู้ถูกจับกุมข้อหาร่วมกันผลิตกัญชาและครอบครองกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยที่ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าตำรวจเอาพี่ซ้งไปซ่อนไว้ที่ไหน เพราะญาติมิตรเพื่อนฝูงเป็นห่วง

 เปิดศึก 2ขั้ว"ยากัญชาไทย"หมอพื้นบ้านหรืออำนาจทุน

 

สิ่งที่สร้างความสงสัยให้ประชาชนคือ ช่วงนี้ยังอยู่ในห้วงเวลาของ 3 เดือนแห่งการนิรโทษปลดล็อกกัญชาหรือการยกเว้นโทษเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้มีกัญชาเพื่อรักษาโรค มาแจ้งการครอบครองที่สาธารณสุขจังหวัด โดยให้เวลา 90 วัน เริ่มตั้งแต่ 19 กุมภาพันธ์–19 พฤษภาคม 2562 หมายความว่า ผู้มี “ยาน้ำมันกัญชา” เพื่อใช้รักษาโรค “ไม่ควรถูกจับ” เพราะยังไม่หมดเวลานิรโทษกรรม

แต่ทำไมตำรวจต้องสนธิกำลังเข้าไปจับกุมจนกลายเป็นข่าวใหญ่โต และเลือกเอาวันที่ อ.เดชา เดินทางไปประเทศลาว ไม่ได้อยู่ในประเทศไทยด้วย ?

กลุ่มเดือดร้อนสุดตอนนี้คือ ชาวบ้านที่เจ็บป่วยแล้วต้องการยาน้ำมันกัญชาไปใช้รักษาแบบแพทย์แผนไทย เพราะที่ผ่านมาอาจารย์เดชาเป็นผู้มีชื่อเสียงในการทำวิจัยและทดลองคิดค้นสกัดสมุนไพรรวมถึงน้ำมันกัญชาเพื่อรักษาโรคมะเร็ง และโรคอื่นๆ โดยผู้ป่วยจากหลายจังหวัดติดต่อขอทดลองใช้มาตลอดหลายปีแล้ว เช่น เครือข่ายผู้ป่วยโรคมะเร็งพิจิตร ลพบุรี สุพรรณบุรี ฯลฯ

 

 เปิดศึก 2ขั้ว"ยากัญชาไทย"หมอพื้นบ้านหรืออำนาจทุน

 

มีรายงานข่าวว่าผู้ป่วยจากภาคเหนือ กำแพงเพชร นครสวรรค์ ลำปาง อุตรดิตถ์ เกือบ 300 คนไปรวมตัวกันที่ “วัดป่าวชิรโพธิญาณ” จ.พิจิตร เพราะได้ข่าวว่าจะมีน้ำมันกัญชาจากมูลนิธิข้าวขวัญมาแจกฟรี แต่ต้องพบกับความผิดหวังเพราะตำรวจบุกยึดไปเป็นของกลางหมดแล้ว ผู้ป่วยโรคมะเร็งต่างขอร้องวิงวอนว่า นี่คือหนทางสุดท้ายที่จะช่วยรักษาความทุกข์ทรมานจากโรคภัยไข้เจ็บ ส่วนใหญ่เคยรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันแต่ไม่หาย อยากให้รัฐบาล คสช.เข้าช่วยจัดการด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้ตำรวจยาเสพติดทำแบบนี้กับชาวบ้านที่อยากหันหน้าไปพึ่งพาแพทย์แผนไทย

 

ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มผู้ป่วยเท่านั้น แม้แต่นายแพทย์ชื่อดังจากจุฬาฯ “นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา” ยังทนไมได้ ต้องโพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 7 เมษายน ที่ผ่านมา ตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นการกลั่นแกล้ง และใครที่ไปจับ อ.เดชา หรือคนที่เกี่ยวข้อง อาจโดนฟ้องข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ รวมถึงเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขที่ให้สัมภาษณ์สนับสนุนการจับกุมของตำรวจด้วย

 

 เปิดศึก 2ขั้ว"ยากัญชาไทย"หมอพื้นบ้านหรืออำนาจทุน

 

ล่าสุด วันที่ 9 เมษายน เครือข่ายภาคประชาชน เช่น มูลนิธิชีววิถี (ไบโอไทย) มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน ได้ระดมเงินบริจาคได้มากกว่า 5 แสนบาท ยื่นขอประกันตัวต่อศาลจังหวัดสุพรรณบุรี โดยใช้แคมเปญรณรงค์ขอเงินสนับสนุนว่า “ปล่อยซ้งจากที่คุมขัง พาอาจารย์เดชากลับบ้าน” 

 

วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ” ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี วิเคราะห์ให้ฟังว่า การจับกุมปราชญ์ชาวบ้านอย่างอาจารย์เดชาที่ทำเรื่องพืชยาสมุนไพรไทย ข้าวอินทรีย์ เกษตรอินทรีย์ จนมีชื่อเสียงได้รับการยอมรับไปทั่วโลกนั้น ถือเป็นคดีแปลกประหลาดมาก และมาบุกจับช่วงที่เปิดให้นิรโทษกรรมด้วย ยิ่งเป็นปริศนาที่สังคมไทยควรมาช่วยกันสืบหาข้อมูลและข้อเท็จจริงที่อยู่เบื้องหลัง

 

"เชื่อกันว่าพี่เดชาคือสัญลักษณ์ของหมอพื้นบ้านทั่วไป ที่พยายามพัฒนาภูมิปัญญาแพทย์แผนไทยให้เป็นประโยชน์ ไม่ต้องพึ่งพายาสารเคมีหรือบริษัทยายักษ์ใหญ่จากต่างชาติอย่างเดียว เคยเขียนหนังสือเกี่ยวกับการใช้สมุนไพรเป็นยา และร่วมทำงานวิจัยงานวิชาการกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ในด้านนี้มากมายนับไม่ถ้วน การบุกจับกุมมูลนิธิของพี่เดชา คือการประกาศอำนาจทุนหรืออำนาจบางอย่างของบางกลุ่ม ที่ไม่อยากให้ชาวบ้านท้าทาย ยากัญชาในอนาคตจะสร้างมูลค่ามหาศาลให้ประเทศไทย เพราะฉะนั้นกลุ่มพวกนี้กลัวว่าตัวเองจะไม่ได้เป็นคนกุมอำนาจในการจัดการดูแล ทั้งที่พืชสมุนไพรเหล่านี้ควรได้รับการต่อยอดพัฒนาสายพันธุ์จากคนหลากหลายกลุ่ม ไม่ควรรวมศูนย์ความรู้หรืออำนาจในการควบคุมดูแลไว้ที่หน่วยงานใดหน่วยงานเดียว หรือให้สิทธิเฉพาะบริษัทยักษ์ใหญ่เข้าไปตักตวงผลประโยชน์จากการปลูกและขายยารักษาโรค อย่าลืมว่าการนำกัญชามาเป็นยาหรือส่วนประกอบของอาหาร สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษพวกเรา ทั้งตำรวจ ป.ป.ส. และกระทรวงสาธารณสุข ไม่ควรทำให้กัญชากลับไปอยู่ในยุคมืดอีกครั้ง เพราะนานาประเทศต่างยอมรับประโยชน์ทางการแพทย์ของกัญชากันหมดแล้ว"

 

 เปิดศึก 2ขั้ว"ยากัญชาไทย"หมอพื้นบ้านหรืออำนาจทุน

ขณะที่ฝ่ายกฎหมายที่ไปบุกจับกุมก็ไม่ยอมแพ้ ขอตั้งโต๊ะแถลงข่าวตอบโต้ด้วย

 

เมื่อวันที่ 8 เมษายน "นิยม เติมศรีสุข" เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เชิญสื่อมวลชนมาชี้แจงว่า การบุกจับนั้นตรวจพบต้นกัญชาที่เพาะปลูกได้ไม่นานกว่า 200 ต้น น้ำมันสกัดจากกัญชาประมาณ 20 ลิตร กัญชาบดผงประมาณ 500 กรัม เมล็ดกัญชา 1.8 กก. และอุปกรณ์อื่นๆ พร้อมจับผู้ต้องหา 1 ราย ข้อหาผลิตและครอบครองยาเสพติดประเภท 5 โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มนายทุนใดๆ ที่อยากผูกขาดการปลูกหรือจำหน่ายยากัญชา แต่เนื่องจากที่ผ่านมามีการตรวจสอบพบว่ามูลนิธิข้าวขวัญเผยแพร่ภาพและเนื้อความทางสื่อสังคมออนไลน์ช่วงวันที่ 1-2 เมษายน ว่าจะแจกน้ำมันสารสกัดจากกัญชาให้ประชาชนใช้รักษาอาการเจ็บป่วย ที่พิจิตรและลพบุรี ซึ่งตำรวจไม่สามารถปล่อยให้ทำแบบนี้ได้ เพราะกัญชายังถือเป็นยาเสพติดผิดกฎหมาย การผลิต จำหน่าย ครอบครอง ต้องได้รับอนุญาต เจ้าหน้าที่มูลนิธิเป็นเพียงประชาชนทั่วไปไม่สามารถปลูกกัญชาเองได้

สอดคล้องกับผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเกี่ยวกับกัญชา ที่อธิบายให้ฟังว่า การจับกุมของ ป.ป.ส.ครั้งนี้ ทำได้แน่นอน เพราะกฎหมายนิรโทษกรรม ระบุให้ใช้ได้กับผู้ป่วยที่ครอบครองเพื่อรักษาตัวเองเท่านั้น ไม่ได้ครอบคลุมถึงคนที่ปลูกแล้วนำมาสกัดแจกหรือขายเป็นลิตรๆ แบบนี้

 

 เปิดศึก 2ขั้ว"ยากัญชาไทย"หมอพื้นบ้านหรืออำนาจทุน

“ต้องย้อนไปดูว่า กฎหมายยาเสพติดแก้ไขปี 2562 ได้มอบอำนาจให้กระทรวงสาธารณสุขไปออกประกาศนิรโทษกรรมคนที่มีกัญชา หรือที่จริงก็คือผู้ป่วยที่ไปแอบซื้อยากัญชาสกัดเอามารักษาความปวดหรืออาการต่างๆ ซึ่งกัญชาสกัดเป็นน้ำมันยาแบบนี้มีแอบขายใต้ดินมานานแล้ว กฎหมายก็เลยออกนิรโทษกรรมให้ แต่ไม่ได้รวมถึงคนทำขายทำแจกทั่วไป ดูจากหลักฐานเบื้องต้นแล้วคิดว่า คดีนี้ถ้าส่งถึงอัยการคงมีการสั่งฟ้องอย่างแน่นอน” ผู้เชี่ยวชาญข้างต้นกล่าว

ทั้งนี้รายละเอียดของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ “นิรโทษกรรมกัญชาเพื่อการแพทย์” นั้น เริ่มจากมาตรา 22 ของ "พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2562 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2562 มอบอำนาจให้กระทรวงสาธารณสุขจัดทำประกาศกฎหมายลำดับรองเพื่อนิรโทษกรรมผู้ครอบครองกัญชาเพื่อการแพทย์ จากนั้นวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2562 ได้มีประกาศจากกระทรวงสาธารณสุขออกมา 3 ฉบับ มีเนื้อหาเกี่ยวกับการกำหนดให้กระทรวงสาธารณสุขเข้ามาดูแล “กัญชา” เพื่อการแพทย์และให้นิรโทษกรรมผู้ครอบครองกัญชาเพื่อรักษาโรคเฉพาะตัว

 

 เปิดศึก 2ขั้ว"ยากัญชาไทย"หมอพื้นบ้านหรืออำนาจทุน

โดยกำหนดกลุ่มที่ได้รับนิรโทษกรรม 7 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่

 

1.หน่วยงานรัฐที่ศึกษาวิจัย ให้บริการ หรือจัดการเรียนการสอนทางแพทย์ เภสัชศาสตร์ วิทยาศาสตร์ หรือเกษตรศาสตร์ หรือหน่วยงานป้องกันปราบปรามยาเสพติด หรือสภากาชาดไทย

2.ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม เภสัชกรรม ทันตกรรม สัตวแพทย์ชั้นหนึ่ง แพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์ หรือหมอพื้นบ้าน

3.สถาบันอุดมศึกษาที่ศึกษาวิจัย หรือจัดการเรียนการสอนทางแพทย์

4.เกษตรกรที่รวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจชุมชน หรือสหกรณ์การเกษตร แต่จะครอบครองได้ต้องมีหน่วยงานรัฐหรือสถาบันอุดมศึกษาร่วมมือและกำกับดูแล

5.ผู้ประกอบการขนส่งสาธารณะระหว่างประเทศ

6.ผู้ป่วยเดินทางต่างประเทศ ที่จำเป็นต้องนำกัญชาติดตัว เข้าหรือออกราชอาณาจักร

และ 7.ผู้ขออนุญาตตามที่รัฐมนตรีเห็นชอบ

จุดไคลแมกซ์ประเด็นต่อสู้ของศึก 2 ขั้วเพื่อ“ ยากัญชาไทย” จึงอยู่ที่การตีความว่า อ.เดชา เป็นหมอพื้นบ้านหรือไม่ ?

โดยกลุ่มเครือข่ายภาคประชาชนยืนยันว่า อ.เดชา เป็นหมอพื้นบ้านอยู่ในเงื่อนไขข้อ 2” เจ้าหน้าที่ไม่มีสิทธิจับกุม เพราะอยู่ในช่วงขอนิรโทษกรรมได้ แต่อีกฝ่ายมองว่า อ.เดชา ไม่ได้มีพฤติการณ์เป็นหมอพื้นบ้าน เหมือนกับชาวบ้านคนอื่นทั่วไป แต่มีพฤติการณ์ลักลอบผลิตและแจกจ่ายสารเสพติด

ที่ผ่านมา การนิยามคำว่า “หมอพื้นบ้าน” ยังไม่ชัดเจนเท่าไรนัก ทีมข่าว “คม ชัด ลึก” ค้นพบเนื้อหาจากเว็บไซต์กระทรวงสาธารณสุข เรื่องระเบียบกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2555 เกี่ยวกับการคัดกรองหมอพื้นบ้าน โดยระบุความหมายว่า

 

 เปิดศึก 2ขั้ว"ยากัญชาไทย"หมอพื้นบ้านหรืออำนาจทุน

 

หมอพื้นบ้าน (Folk doctors) หมายถึง ผู้ที่ดูแลสุขภาพและรักษาโรคให้แก่ผู้ป่วยในท้องถิ่นนั้นๆ โดยใช้องค์ความรู้และวิถีปฏิบัติของการแพทย์พื้นบ้านที่สัมพันธ์กับวัฒนธรรมท้องถิ่น และมีอัตลักษณ์เฉพาะ มีการสืบทอดผ่านประสบการณ์ตรงและสะสมเรียนรู้จากการปฏิบัติภายใต้บริบทของสังคมวัฒนธรรมเฉพาะ

พร้อมอธิบายรายละเอียดว่า หมอพื้นบ้านควรมีพื้นฐานดังนี้ เช่น มีคุณธรรม สามารถดูแลรักษาโรคภัยไข้เจ็บของคนในชุมชนได้ ไม่เอาเปรียบหรือหลอกลวง ไม่ทำการรักษาในเชิงพาณิชย์และค้ากำไรเกินควร มีจิตใจดีเป็นที่ยอมรับนับถือของคนในชุมชน อยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ มีความเคารพและกตัญญูต่อครูบาอาจารย์ ไม่เร่ขายยาไปตามที่ต่างๆ

ตัวอย่างหมอพื้นบ้านชื่อดัง เช่น “หมอแสง” หรือนายแสงชัย แหเลิศตระกูลชัย ที่แจกแคปซูลสมุนไพรช่วยผู้ป่วยมะเร็งนั้น เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2562 กรมการแพทย์แผนไทยฯ ก็ออกใบรับรองให้เป็นหมอพื้นบ้านแล้ว

ดังนั้น หากพิจารณานิยามคำว่า “หมอพื้นบ้าน” จากระเบียบที่กำหนดไว้ พร้อมเปรียบเทียบกับหมอพื้นบ้านที่หน่วยงานรัฐเคยออกใบรับรองไว้แล้วประมาณ 3,000 คนทั่วประเทศไทย เชื่อว่าคดีนี้คงจบคลี่คลายลงได้ในเร็ววัน

เพียงแต่ปริศนาว่า “ใครอยู่เบื้องหลัง” สั่งบุกจับกุมหมอพื้นบ้านระดับปราชญ์อินเตอร์ที่นานาชาติยอมรับนับถือนั้น คงไม่มีคำตอบในเร็ววัน เพราะถือว่าเป็นกลุ่มที่มีพลังเพาเวอร์ในอำนาจรัฐไม่น้อยทีเดียว !?!

 

ทีมข่าวรายงานพิเศษ

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ