คอลัมนิสต์

พลังพิเศษ-สัญญาใจทำ ปชป.พ่าย"ลุงตู่"?

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

คอลัมน์... ล่าความจริง..พิกัดข่าว โดย... ปกรณ์ พึ่งเนตร

 

 

          อีกหนึ่งประเด็นร้อนที่กลายเป็นหัวข้อวิจารณ์ทางการเมืองอย่างกว้างขวาง ก็คือภาวะตกต่ำสุดขีดของ “พรรคประชาธิปัตย์”


          จากพรรคตัวแปรสำคัญที่สุด ถึงขั้นวาดฝันเป็น “ขั้วที่ 3” ถึงไม่ชนะจากเขตเลือกตั้ง ก็ยังมีลุ้นดัน “เดอะมาร์ค อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เป็นนายกฯ อีกรอบ แต่เมื่อผลคะแนนออกมา แทบตกเก้าอี้ เพราะประชาธิปัตย์ไม่ได้กลายเป็นแค่ “พรรคต่ำร้อย” ธรรมดาๆ เท่านั้น แต่เป็นพรรคเล็กยิ่งกว่าพรรคขนาดกลางเสียอีก จำนวน ส.ส.รวมแพ้พรรคภูมิใจไทย แถมตามหลังพรรคตั้งใหม่เมื่อวานซืนอย่างอนาคตใหม่เกือบเท่าตัว

 

 

          นี่คือชะตากรรมของประชาธิปัตย์ในวันนี้ ทำให้นายอภิสิทธิ์ต้องประกาศลาออกทันทีในคืนวันเลือกตั้ง ณ ที่ทำการพรรค ต่อหน้ารูปปั้นพระแม่ธรณีบีบมวยผมต้องยอมรับว่าเป็นการตัดสินใจที่กล้าหาญของนายอภิสิทธิ์ และถือเป็นแบบอย่างให้นักการเมืองรุ่นหลังได้ปฏิบัติตาม ในแง่ของความรับผิดชอบต่อคำพูดและสัญญาประชาคมของตนเอง


          แน่นอนว่าบรรดาแฟนคลับถึงกับร่ำไห้ บ้างก็ว่าน้ำที่พระแม่ธรณีบีบมวยผมบีบออกมา เป็นเหมือน “น้ำตา” จากคนที่รักประชาธิปัตย์ และรักนายอภิสิทธิ์เลยทีเดียว


          สาเหตุของความพ่ายแพ้ที่เป็นสาเหตุพื้นๆ ที่เรียกว่า “รู้ๆ กันอยู่” มีอยู่ 3-4 ข้อ คือ
          1.ปัญหาขัดแย้งแตกแยกในพรรคประชาธิปัตย์ เพราะมีการหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรคก่อนเลือกตั้ง การแข่งขันชิงหัวหน้าพรรคทำให้พรรคไม่เป็นเอกภาพ และยังมีปัญหาเรื่องการจัดตัว ส.ส.ลงสู้ศึกเลือกตั้ง ซึ่งมีข่าวว่ามีการสกัดฝ่ายที่ไม่สนับสนุนนายอภิสิทธิ์ (ตอนหยั่งเสียงเลือกหัวหน้า) ไม่ให้ลงสมัคร แต่ส่ง “ทีมเพื่อนอภิสิทธิ์” ลงแทน ทำให้คนที่ได้สิทธิ์ลงสมัคร ไม่ใช่ “ขุนพลที่ดีที่สุด” ในการสู้ศึก

 

 

พลังพิเศษ-สัญญาใจทำ ปชป.พ่าย"ลุงตู่"?

 

 

 


          2.การวางตัวผู้สมัครในระดับภาคและระดับเขต พึ่งพา “มือเก่า” ทางการเมืองมากเกินไป ทั้งๆ ที่กระแสการเมืองเปลี่ยนไปมาก โดยเฉพาะกระแสคนรุ่นใหม่ในเขตเมือง แถมยังมีการเล่นพรรคเล่นพวก เขี่ยฝ่ายตรงข้ามไม่ให้ลงสมัคร เอาคนของตัวเองมาเสียบแทน บางเขตส่ง “ละอ่อนทางการเมือง” ลงสู้ ทำให้พ่ายแพ้อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ปรากฏการณ์นี้เห็นชัดที่ จ.สงขลา ประชาธิปัตย์หายไป 6 ที่นั่งจาก 8 ที่นั่ง


          3.พื้นที่ชายแดนใต้เจอกระแสพรรคประชาชาติ และพลังพิเศษของพรรคพลังประชารัฐ เบียดตกขอบ ทำให้เก้าอี้ ส.ส.หายไปถึง 9 เก้าอี้


          4.การประกาศจุดยืน “ไม่หนุนลุงตู่” ของนายอภิสิทธิ์ บวกกับกระแสอนาคตใหม่ ทำให้ประชาธิปัตย์สูญพันธุ์ใน กทม. เก้าอี้ ส.ส.หายไป 20 กว่าเก้าอี้ และน่าเสียดายที่นักการเมืองรุ่นใหม่น้ำดี มีความรู้ เช่น “หมอเอ้ก” คณวัฒน์ จันทรลาวัณย์, “ไอติม” พริษฐ์ วัชรสินธุ ต้องกลายเป็นแค่อดีตผู้สมัคร


          นี่คือเหตุผลพื้นๆ ที่ทราบๆ กันอยู่ แต่ยังมีเหตุผลลึกๆ ที่ทำให้ประชาธิปัตย์พ่ายแพ้ในอีกหลายๆ พื้นที่ของภาคใต้ เช่น พัทลุง สตูล ภูเก็ต ระนอง รวมทั้งสงขลา มีข้อสังเกตที่น่าสนใจคือ ประชาธิปัตย์ไม่ได้แพ้พรรคคู่แข่งอย่างเพื่อไทย อนาคตใหม่ หรือประชาชาติ (เหมือนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้) แต่แพ้ให้แก่พลังประชารัฐ และภูมิใจไทย


          มีสุ้มเสียงจาก “คนใน” ของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นอดีต ส.ส.ใต้ผู้คร่ำหวอดเกมการเมือง ระบุว่า ปชป.โดน พลังประชารัฐกับภูมิใจไทย แท็กทีมโจมตี ทำให้ร่วงอย่างที่เห็น


          หากมองปรากฏการณ์นี้ เทียบกับการเมืองภาพใหญ่ จะเห็นว่าผลการเลือกตั้งที่ออกมา เสียงรวมของ “ฝั่งหนุนลุงตู่” ยังเท่าเดิม ถ้าย้อนอดีตกลับไปช่วงที่นายอภิสิทธิ์ยังไม่ประกาศลอยแพลุงตู่ โพลล์ตอนนั้น เก้าอี้ ส.ส.จะอยู่ที่ระดับ 80-85 ที่นั่ง ขณะที่พลังประชารัฐและภูมิใจไทยตามหลังประชาธิปัตย์


          แต่เมื่อนายอภิสิทธิ์ประกาศไม่หนุนลุงตู่ ประชาธิปัตย์ก็โดนทุบ แต่เก้าอี้ ส.ส.ไม่ได้หายไปไหน ยังอยู่ที่ฝั่งลุงตู่ เพราะเสียเก้าอี้่ให้พลังประชารัฐกับภูมิใจไทยทั้งหมด ฉะนั้นสิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลงแน่ๆ ในพรรคประชาธิปัตย์ คือ นายอภิสิทธิ์ต้องเป็นฝ่ายไป ถูกเขี่ยให้พ้นทาง และหัวหน้าพรรคคนใหม่ กับกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ จะเปลี่ยนท่าทีของพรรคให้หนุนลุงตู่เป็นนายกฯ หรือพูดให้กว้างกว่านั้นคือ จับมือกับขั้วพลังประชารัฐอย่างแนบแน่น มั่นคง


          นี่คือเกมการเมืองที่ต้องบอกว่าเล่นกันโหดจริงๆ และสะท้อนให้เห็นว่า แท้ที่จริงแล้ว ภูมิใจไทยจับมือกันแน่นกับพลังประชารัฐ โดยสะท้อนผ่านชัยชนะของ ส.ส.เขตในพื้นที่ภาคใต้


          ฉะนั้นไม่ต้องบอกก็พอจะเดาได้ว่า ภูมิใจไทยจะยื่นข้างไหนระหว่างขั้วการเมืองใหญ่ 2 ขั้ว

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ