คอลัมนิสต์

ชั่วเจ็ดทีสู่ดีเจ็ดหน 

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

โดย ธนรัตน์ ยงวานิชจิต[email protected]


 

 
          ในยุคสามก๊ก (พ.ศ. 763 ถึง 823) มียอดยุทธศาสตร์นามจริงว่า ซูชี่เหลียง นามยกย่องว่า “ขงเบ้ง” รับราชการเป็นอัครมหาเสนาบดีของจักรพรรดิก๊กชูฮั่น วันหนึ่ง ขงเบ้งได้รับบัญชาให้วางแผนรับศึกก๊กเหวยทางเหนือ ในขณะที่ภาคใต้ ก็มีนายทหารเหม็งฮั่วตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อจักรพรรดิก๊กชูฮั่น โดยจับมือกับจักรพรรดิก๊กเหวย ยกทัพตนขึ้นเหนือในจังหวะที่ก๊กเหวยยกทัพลงใต้ โจมตีขนาบก๊กชูฮั่นพร้อมกัน

 

 

          ด้วยกลยุทธ์ “แปดเหลี่ยมสิบสองคม” ขงเบ้งหลอกล่อพลพรรคเหม็งฮั่วที่เข้มแนวบู๊แต่อ่อนแนวบุ๋น จนหลงกลเข้าไปติดกับดักและถูกปิดล้อมไว้หมด เหม็งฮั่วต้องชักธงขาวตกเป็นเชลยศึกโดยปริยาย แต่แทนที่จะสั่งจำคุกหรือประหารชีวิตเชลยศึกตามกติกาสงคราม ขงเบ้งกลับจัดหาเหล้ายาปลาปิ้งมาบำรุงบำเรอเชลยทั้งหมด เมื่ออิ่มหนำสำราญกันแล้ว ขงเบ้งก็ลุกขึ้นกล่าวปิดงานเลี้ยง “พวกเจ้ามีพ่อแม่ลูกเมียห่วงใยรออยู่ที่บ้าน ข้าฯ จะปล่อยพวกเจ้ากลับไปอยู่กับคนที่เจ้ารักและคิดถึง..เดี๋ยวนี้”


          ขงเบ้งหันไปถามเหม็งฮั่ว “หากข้าฯ ปล่อยเจ้าไป เจ้าจะทำอย่างไรกับข้าฯ ต่อไป?” เหม็งฮั่วตอบแบบขวานผ่าซาก “ข้าฯ จะรวบรวมกำลังพลยกกลับมาตีก๊กชูฮั่นอีก หากท่านชนะอีก ข้าฯ ก็จะยอมยกย่องท่านเป็นยอดยุทธศาสตร์สงคราม” มิไยท่าทียโสโอหังพยาบาทของเหม็งฮั่ว ขงเบ้งสั่งปล่อยเชลยทั้งหมดเป็นอิสระ แถมกำนัลเหม็งฮั่วด้วยม้าเจนรบพร้อมอานม้าอย่างดี


          ทันใดนั้น บรรดาขุนพลของขงเบ้งต่างก็สำแดงความไม่พอใจอย่างออกหน้าออกตา ขงเบ้งชี้แจงทันที “ข้าฯ วางแผนจับเหม็งฮั่วมาได้ ข้าฯ จะทำอะไรอย่างไรกับเชลยคนนี้ ก็ย่อมได้ ไม่เห็นมันจะมีปัญหาตรงไหน รู้มั้ย ข้าฯ กำลังเสี่ยงเอาชนะใจเหม็งฮั่ว... ดีไม่ดี สันติภาพยั่งยืนอาจเกิดขึ้นสักวัน พวกเราจะได้ไม่ต้องมาออกรบให้เสียเลือดเสียเนื้อกันอีก”

 



          ทันทีที่ระดมพลกับอาวุธได้พร้อมรบ เหม็งฮั่วก็ยกทัพกลับขึ้นไปตีก๊กชูฮั่นอีก แต่ด้วยยุทธศาสตร์ล้ำหน้าแยบยลยิ่งของขงเบ้ง เหม็งฮั่วก็ถูกจับเป็นเชลยและปล่อยกลับไปอีก ปรากฏว่า วนเวียนพ่ายแพ้กับถูกปล่อยกลับอยู่ถึง 6 ครั้ง


          ก่อนถูกปล่อยกลับครั้งที่หก เหม็งฮั่วลั่นวาจาไว้กับขงเบ้ง “หากท่านจับข้าฯ ได้อีกเป็นครั้งที่เจ็ด ข้าฯ ก็อาจยอมมอบความจงรักภักดีต่อท่านและเลิกยกทัพมาตีก๊กชูฮั่นอีก” ขงเบ้งตอบสวนกลับ “คราวนี้ ข้าฯ เห็นจะต้องเลิกปล่อยเจ้าอย่างเคยอีกละ”


          ด้วยมิจฉาทิฐิแรงกล้า เหม็งฮั่วมุ่งมั่น “เผด็จศึก” ขงเบ้งให้สำเร็จ จึงไปจับมือกับจักรพรรดิหวูตู่กู้แห่งก๊กหวูเจ้อ ทหารก๊กนี้ได้พัฒนาเสื้อเกราะทหารล้ำยุค ทำด้วยป่านเหนียวชุบน้ำมันดำ ตากแห้งจนมีสภาพเหนียวแข็งต้านทานของมีคมได้ดีเลิศ ทันทีที่พร้อม สองทัพยกทัพพิชิตก๊กชูฮั่นทันที


          เมื่อได้ทบทวน “ศิลปสงคราม” อมตะของยอดยุทธศาสตร์ซุนซื่อที่มีมาราว 720 ปีก่อนยุคสามก๊กเป็นมั่นเหมาะแล้ว ขงเบ้งก็ออกบัญชาการศึกทันที โดยสั่งให้ทหารตนแสร้งพ่ายแพ้ วิ่งล่าถอยร้องโวยวายสุดชีวิต กองทัพเสื้อเกราะเห็นได้ทีก็วิ่งไล่ล่าอย่างว่องไวประหนึ่งเสือล่าเนื้อ จนเข้าไปในหุบเขาแคบๆ เมื่อได้จังหวะ ขงเบ้งก็ส่งสัญญาณให้ทหารที่ซุ่มรออยู่โดยรอบ จุดไฟเผาดงหญ้าดงไม้บริเวณนั้นทันที เปลวเพลิงกระโดดกระจายตามกระแสลมไปติดเสื้อเกราะชุบน้ำมันดำ เผาไหม้ย่างสดข้าศึกเกือบหมด ส่วนเหม็งฮั่วที่นั่งบัญชาการอยู่บนหลังม้า ก็ถูกทหารขงเบ้งปิดล้อมไว้ จนต้องยอมชักธงขาวอีก พอรู้ตัวว่าศีรษะตนเห็นจะต้องหลุดจากบ่าเป็นแน่แท้คราวนี้ ก็นิ่งเฉยรอตายเยี่ยงชายชาติทหารอยู่บนหลังม้า


          หลังจากที่กำชัยชนะได้เด็ดขาด ขงเบ้งส่งทหารไปอ่านคำสั่งกฎอัยการศึกให้เหม็งฮั่วฟัง “ท่านขงเบ้งมีบัญชาให้ข้าฯ มา..ปลดปล่อยเชลยเหม็งฮั่วเป็นอิสระอีก ท่านจะได้กลับไปยกทัพมาโจมตีก๊กชูฮั่นอีก” ทันใดนั้น เหม็งฮั่วก็ร้องไห้โฮใหญ่ออกมาด้วยความละอายใจใน “มิจฉาทิฐิ” ที่ตนได้ยึดติด “ความเห็นผิด” คิดเป็นใหญ่โดยมิชอบมานาน ในขณะที่ “สัมมาทิฐิ” อันกอปรด้วย “ความเห็นชอบ” ก็เข้าไปแทนที่ เสมือนความสว่างเข้าแทนที่ความมืดที่จางหายไป เหม็งฮั่วเริ่ม “ตื่นรู้” ตามกฎธรรมชาติ แปรเปลี่ยนเป็นสัตบุรุษ มีกตัญญูกตเวทีและประพฤติอยู่ในศีลธรรม


          ต่อมา เหม็งฮั่วขอเข้าคารวะขงเบ้ง โดยคุกเข่าลงพลางพลอดออดอ้อน “ท่านขงเบ้ง ท่านเป็นอัครมหาเสนาบดีสูงส่งจากสวรรค์โดยแท้ ข้าฯ กับเหล่าทหาร ขอสาบานว่าจะไม่มีวันมาคุกคามอธิปไตยของก๊กชูฮั่นอีก”


          ขงเบ้งถามกลับให้แน่ใจ “เจ้ายอมแพ้จริงๆ แล้วหรือนี่?” เหม็งฮั่วตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ท่านได้เมตตากรุณาต่อข้าฯ กับลูกหลานข้าฯ ถึงเจ็ดครั้ง นับเป็นบุญคุณอันใหญ่หลวงยิ่ง พวกข้าฯ จะไม่ยอมสยบราบคาบต่อท่านได้อย่างไรล่ะ?”


          ก่อนถอนทัพกลับก๊กชูฮั่น ขงเบ้งสั่งจัดงานสมโภชแต่งตั้งให้เหม็งฮั่วเป็นแม่ทัพภาคใต้ แต่นั้นมา เหม็งฮั่วกับพลพรรคก็กลายเป็นพันธมิตรที่อ่อนน้อมแต่แข็งแกร่งที่สุดของก๊กชูฮั่น


          บทเรียนจากตำนานสามก๊กอมตะตอนนี้ คือ “สามัคคีธรรม” หรือ “การร่วมมือกัน” เป็นกุญแจดอกเดียวที่จะไขประตูสู่ “ความเจริญสุขร่วมกัน” แม้รบเก่งกว่าเหม็งฮั่วขนาด “จับตัววางตาย” ขงเบ้งก็ยังถ่อมตนให้ “ความร่วมมือ” ด้วยการแสดงความเมตตากรุณาปล่อยเหม็งฮั่วกับพลพรรคเป็นอิสระถึงเจ็ดครั้ง ในที่สุด เหม็งฮั่วก็ “ตื่นรู้” หลุดพ้นจาก “จิตโจร” มาเป็น “จิตพุทธะ” หันมาให้ความร่วมมือกับขงเบ้ง หาไม่แล้ว ก็จะยังต้องออกรบด้วย “จิตโจร” และพ่ายแพ้เป็นวงจรอุบาทว์ชั่วกัปชั่วกัลป์

 

          สงครามคือ “การแข่งขันกัน” แบบไม่แพ้ก็ชนะ แม้สุดยอดนักรบระดับซุนซื่อเอง ก็ได้ชี้ให้เห็นคุณค่าของ “การร่วมมือกัน” ไว้ชัดว่า “ล้ำเลิศเมื่อชนะศัตรูโดยมิต้องสูญเสีย ย่ำแย่เมื่อชนะด้วยเลือดกับชีวิต จับเป็นย่อมเก่งกว่าพิฆาตศัตรู”


          ถึงเวลาแล้วหรือยังที่นักการเมืองที่ยังถูก “มิจฉาทิฐิ” ครอบงำอยู่ จะหันมา “ร่วมมือกัน” กับนักการเมืองด้วยกันสักที อย่าง “ผู้ตื่นรู้” เพื่อก้าวข้าม “ชั่วเจ็ดที” (แพ้เจ็ดครั้ง) สู่ “ดีเจ็ดหน” (อ่อนน้อมแต่แข็งแกร่งตลอดไป) คือ ข้าม “มิจฉาทิฐิ” สู่ “สัมมาทิฐิ” ดังเช่นดอกบัวที่เจริญเติบโตจากโคลนตมจนโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมารับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์


          หลังเลือกตั้ง นักการเมืองทั้งปวงที่สอบผ่านหรือสอบตก พึง “ร่วมมือกัน” พัฒนาชาติบ้านเมืองด้วยความจริงใจ โดย (1) ปรับเปลี่ยน “ชุมชนไร้วิญญาณจิตที่ไล่ล่าแต่วัตถุเงินทองอำนาจ” มาเป็น “ชุมชนที่หยั่งรู้ความทุกข์ของผู้อื่นเป็น” คือ ฝักใฝ่ในจิตตภาวนา พร้อมแสดงความเมตตากรุณาช่วยดับทุกข์ให้เพื่อนร่วมชาติ โดยไม่กลัวขาดทุน (2) ปรับเปลี่ยน “ชุมชนตัวใครตัวมัน” เป็น “ชุมชนรักกันฉันพี่น้องด้วยสามัคคีธรรม” และ (3) ปรับเปลี่ยน “ชุมชนที่มีปัจจัยเหลื่อมล้ำกันแบบฟ้ากับเหวลึก” เป็น “ชุมชนที่อยู่ร่วมกันอย่างเสมอภาคกันด้วยศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” ทั้งนี้ เพื่อช่วยกันทำนุบำรุงเงื่อนไขทางสังคมที่อำนวยให้แผ่นดินไทยเป็นแผ่นดินธรรมดังเดิม


          ทั้งสามลักษณะชุมชนอันชอบธรรมนี้ ได้เกิดขึ้นพร้อมกันมาแล้วกับชุมชนหนึ่งที่ประกอบด้วยจิตอาสาทั้งต่างชาติกับไทย ซึ่งไม่รู้จักกันหรือนัดหมายกันมาก่อน แต่ก็สามารถ “ร่วมมือกัน” กู้ชีพทีมบอลหมูป่าทั้งหมดจากถ้ำขุนน้ำนางนอน ปี 2561 เชียงราย ได้สำเร็จ ทั้งนี้ ด้วยวิญญาณจิตเยี่ยงวีรชน ไม่มีใครกลัวขาดทุน แต่กอปรด้วยความเมตตากรุณา สามัคคีธรรม และการอยู่ร่วมกันอย่างเสมอภาคกัน


          หากนักการเมืองทั้งปวง “ร่วมมือกันเพื่อชาติบ้านเมืองด้วยใจจริง” แล้ว “ประชาธิปไตย” ที่ประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตยปรารถนากันมาก ดังเห็นได้จากจำนวนผู้ออกเสียงเลือกตั้งรอบแรกที่มีสูงเป็นประวัติการณ์ ก็จะมีโอกาสได้รับใช้ผู้เป็นเจ้าของฯ อย่างแน่นอน หาไม่แล้ว เวทีการเมืองจะมีแต่การโกงกินทะเลาะเบาะแว้งกันเพื่อตัวเองแบบละครน้ำเน่าอีก “ประชาธิปไตย” ก็จะไม่ได้รับใช้ผู้เป็นเจ้าของ อย่างแน่นอน


          แล้วท่านนักการเมืองอยากมี “ประชาธิปไตย” ไว้หาวิมานอะไรมิทราบ ?

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ