คอลัมนิสต์

มิ่งขวัญกับการไล่ฝัน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

โดย...  ทีมข่าวการเมือง เครือเนชั่น


 

          “มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์” หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ ที่หายไปจากแวดวงการเมืองก่อนการยึดอำนาจ โดยลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย แต่เมื่อปลายปีที่แล้วมิ่งขวัญออกมาเปิดเผยว่าจะกลับมาทำงานการเมือง และคำตอบคือ ชายคนนี้มาทำงานที่พรรคเศรษฐกิจใหม่และตัวเองรับหน้าที่หัวหน้าพรรค

 

 

          สังคมไทยรู้จักชื่อเสียงของมิ่งขวัญในฐานะอดีตผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้าประเทศไทย จำกัด แเคยมาช่วยงานพรรคไทยรักไทยในการบูมอีเวนท์ทางเศรษฐกิจ จนได้รับความไว้ใจให้ไปแปรรูปช่อง 9 จนรับหน้าที่ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด(มหาชน) คนแรก

 

          เมื่อพรรคไทยรักไทยโดนยุบไป ชายคนนี้เข้ามาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคพลังประชาชน และเมื่อชนะการเลือกตั้งก็รับหน้าที่รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ จากนั้นโดนโยกไปเป็น รมว.อุตสาหกรรม ต่อมายังเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในยุคนารีขี่ม้าขาว


          ครั้งหนึ่งในการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทยเสนอชื่อมิ่งขวัญเป็นนายกฯ แทน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หากการอภิปรายในครั้งนั้นมิ่งขวัญสามารถล้มรัฐบาลได้...และคำตอบในวันนั้นทุกคนก็รับรู้แล้วว่าชายคนนี้ไปถึงฝั่งฝันหรือไม่


          การกลับคืนเวทีการเมืองคราวนี้ ความฝันของ “มิ่งขวัญ” กับความเป็นจริงที่ยากเย็น ? นั้นจะเป็นอย่างไร “เครือเนชั่น” มีคำตอบ
 

 

          อะไรทำให้หายตัวไปจากแวดวงการเมือง การหันหลังให้กับการเมืองครั้งนั้นคืออกหัก และไปขัดทางคนมีอำนาจ ?
          "ผมไปช่วยงานผู้บริหารมหาวิทยาลัยรัฐหลายแห่ง ในเรื่องสาธารณสุข การศึกษา เกษตร ย้ำว่าไม่ได้อกหักกับการเมือง เรื่องนี้ไม่จริง วันที่ผมจะออกจากพรรคเพื่อไทย กรรมการบริหารพรรคยังบอกเลยว่า อย่าออก ออกทำไม ผมบอกไปว่า ขอให้ผมไปทำงานมหาวิทยาลัยเถอะ”

 


 


          ความฝันของพรรคเศรษฐกิจใหม่จะมี ส.ส.กี่เสียง ?
          “ตอบไม่ได้ เพราะดูโพลล์ คนเกินกว่า 50% ยังไม่ตัดสินใจ”

 


          วางตัวเองอยู่ขั้วไหน ?
          "ตอนแรกผมอยู่นิ่งๆ แต่ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่าผมไปอยู่พรรคพลังประชารัฐ ผมประกาศชัดเจนว่า ไม่ไปอยู่ ผมไม่อยากอยู่ให้คนไทยอยู่ในความขัดแย้ง ผมไม่อยู่ขั้วใด ผมอยู่ตรงกลาง อยู่กับประชาธิปไตย


          ผมลงสมัครเป็นนายกฯ ในครั้งนี้ สมมุติว่า ถ้าครั้งนี้ผมไม่ได้รับเลือกเป็นนายกฯ หากพรรคอื่นๆ เห็นว่าผมมีความสามารถทำงานด้านใดได้ หากมีการทาบทาม ผมก็มีสิทธิรับหน้าที่ในตำแหน่งอื่นๆ ได้"

 


          แรงบันดาลใจอะไรที่ทำให้กลับมาสู่การเมืองและนโยบายของพรรคที่เด็ดที่สุดคืออะไร ?
          “เวลาที่ผมเลือกมหาวิทยาลัย ผมเลือกมหาวิทยาลัยของต่างจังหวัด เพราะเป็นสมองของภูมิภาคนั้นๆ ผมสอบถามชีวิตประชาชน ทุกคนมักบอกว่า “ไม่มีเงิน” 

          และช่วงที่ไปสมัครงานที่ อสมท ซึ่งตอนนั้นกำลังแย่ ผมใช้วิสัยทัศน์ ชวนคนในองค์กรเปลี่ยน และสำเร็จ

          แรงบันดาลใจคือ ถ้าประเทศไทยเศรษฐกิจไม่ดี ผมสงสารคนไทย ประสบการณ์ของผมช่วยได้


          นโยบายพรรคที่ใช้หาเสียงคือ การคืนความสุขให้คนไทยอย่างแท้จริงดังนี้ 1.ลดราคาน้ำมันลง ประชาชนสามารถเอาเงินส่วนนั้นไปใช้ทำอย่างอื่นได้ เงินก็เข้าประเทศในรูปภาษี  หากถามว่าจะนำเงินที่ไหนมาลดราคาน้ำมัน ผมเป็นนักยุทธศาสตร์ เป็นนักบริหาร อันนี้เป็นนโยบายเบื้องต้น ทุกพรรคจะมีเงินอยู่ประมาณ 2 แสนล้านบาท คนไทยได้เงินคืนไป พวกเขาก็กลับมาซื้อของ รัฐบาลก็ได้ภาษีคืน


          การลดราคาน้ำมันนั้นจะลดจากส่วนต่างทางการตลาด ภาษีสรรพสามิตบางส่วน สนับสนุนการใช้น้ำมัน E20 เพื่อให้สินค้าเกษตรราคาดีขึ้น โดยเป็นการลดค่าครองชีพให้ประชาชน หากให้ลดราคาสินค้าเกษตร ราคาค่าครองชีพไม่ได้ลดลง เพราะทุกอย่างมีราคาต้นทุนคือน้ำมัน


          2.ไฟฟ้า ค่าไฟฟ้าในเมืองไทยหน่วยละ 3-4.5 บาท ต้นทุนแบบนี้เราดึงเงินลงทุนเข้าประเทศไม่ได้ มีแต่คนยื่นความสนใจจะลงทุนแต่ติดที่ค่าแรงแพง เราจะแก้ปัญหาค่าขนส่งให้ถูกลง และลดค่าไฟฟ้าเป็นสิ่งที่ลดต้นทุนง่ายที่สุดคือลดหน่วยละ 1 บาท การลดค่าไฟฟ้านี้สามารถลดได้จากไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศ เรามีระบบสัมปทานให้เอกชนประมูล เอกชนผลิต 100% กฟผ.จะซื้อโดยมาตรฐานอยู่ที่ 65-70% ที่เหลือทิ้งไป กฟผ.ซื้ออยู่ที่หน่วยละ 2.50 บาท เราจะให้ กฟผ.ซื้อไฟฟ้าเต็มอัตราการผลิต คือขอซื้อหมดแล้วเอามาผสมกับสิ่งที่ กฟผ.ผลิตได้ แล้วให้ราคาที่ 1.50 บาทต่อหน่วย


          ใน สปป.ลาว ผลิตไฟฟ้าได้เยอะมาก จากอัตรา 100% สปป.ลาวขายให้ไทยอยู่ที่ 1.70 บาทต่อหน่วย 70% คืออัตราที่ขายมา ส่วนร้อยละ 30 สปป.ลาวนำไปใช้ในอุตสาหกรรมภายในประเทศ แต่มันยังไม่มาอย่างที่คิด ทุกวันนี้นักลงทุนหนีไปเวียดนาม เราก็เลยบอกว่า 30% ที่ สปป.มีอยู่ ไทยจะซื้อหมดเลย ในราคาหน่วยละ 1.50 บาท


          3.นโยบายด้านการดูแลสังคม บางประเทศประชาชนเสียภาษีตลอดชีวิต เมื่อครบ 60 ปีมีทอนคืน แปลว่าหากคุณเสียภาษีเยอะ คุณก็ได้เงินทอนเยอะ ถ้าเราเอาฐานจากผู้ที่มาลงทะเบียนคนจน 11.5 ล้านคนที่ขยับมาเป็น 14.5 ล้านคน จากข้อมูล รัฐบาลแจกในอัตราที่ต่างกัน เราจะรวบทั้งหมดมาเป็นก้อนเดียวบวกเงินนิดหน่อย และรับเงินไปตรงๆ จะทำอะไรก็ได้ แต่เงินก้อนนี้ต้องนำไปดูแลชีวิต ผมจะเพิ่ม 3 ข้อคือ 1.จะขอให้โรงพยาบาลราชการเปิดให้มี fast track สำหรับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป 2.รัฐวิสาหกิจ เราจะขอส่วนลด 50% ให้ผู้สูงอายุ 3.ผู้รับสัมปทานของรัฐ เช่น รถไฟฟ้า จะขอความร่วมมือให้ส่วนลด 50% สำหรับคนสูงอายุ ตรงนี้จะทำให้สถานภาพของครอบครัวดีขึ้น


          4.นโยบายสินค้าเกษตรไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ช่วงที่ผมทำงานในรัฐบาล ผมเคยทำให้สินค้าเกษตรมีราคาสูงสุดมาแล้ว วันนี้สถานการณ์อาจจะเปลี่ยนแต่ผมคิดว่าทำได้ ผมมีประสบการณ์ เคยทำมาแล้ว


          5.สร้างอาชีพให้คนรุ่นใหม่ เปิดบันเทิงไทยสู่บันเทิงโลก ส่งออกไปสู่โลกแบบที่เกาหลีใต้ทำมาแล้ว"


          นโยบายที่ระบุไว้หากจะทำแบบนี้ ประเทศจะขาดรายได้ คำนวณหรือยังว่าจะใช้ภาษีเท่าไร ?
          “ทั้งหมดที่พูดมาใช้ภาษี 2 แสนกว่าล้านบาท แบ่งเป็นน้ำมันบวกลบไม่เกิน 1 แสนล้านบาท เงินหายไปต้องแยกภาษีอากร งบประมาณแผ่นดิน เราไม่ได้เอาตรงนี้มา แต่ทำดักไว้บางตัว มีทอนคืน ได้ 7% กลับคืน เงินกระจายสู่รากหญ้า ลดค่าครองชีพของคนทั้งประเทศ ทำให้พืชเกษตรมีราคาสูงขึ้น 3 ตัวอย่างแน่นอน
ส่วนวิธีหาเงินเข้าประเทศคือ การท่องเที่ยว วันนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติ 35 ล้านคนเข้ามาเมืองไทย มีรายได้ 2 ล้านล้านบาทต่อปี แต่เงินไม่เข้าประเทศหรือเข้าน้อย เพราะนักท่องเที่ยวซื้อทัวร์ที่ตัวแทนต่างชาติ ฉะนั้นทัวร์ศูนย์เหรียญต้องไม่มี พูดง่ายๆ ประเทศท่องเที่ยวทำอย่างไร เมืองไทยก็ต้องทำแบบนั้น เราจะทำเทียบเท่ามาตรฐานสากล 2 ล้านล้านบาทต้องได้เข้าประเทศมาเต็มๆ เปิดเป็นประเทศยกเว้นภาษี (duty free) วางยอดนักท่องเที่ยวไว้ที่ 50 ล้านคนต่อปี เพิ่มรายได้จากนักท่องเที่ยวเป็น 4 ล้านล้านบาท


          การค้าออนไลน์ 99% แอพพลิเคชั่นการค้าออนไลน์ทั้งหมดคนไทยเสียเงินให้ต่างชาติ 3 ล้านล้านบาทขึ้นไป ฉะนั้นเราจะออกกฎหมายโดยทุกแอพพลิเคชั่นต้องมีเจ้าของเป็นคนไทยอย่างแท้จริง"
 

          “หากถามว่าจะนำเงินที่ใดมาลดราคาน้ำมัน ผมเป็นนักยุทธศาสตร์ เป็นนักบริหาร อันนี้เป็นนโยบายเบื้องต้น ทุกพรรคจะมีเงินอยู่ประมาณ 2 แสนล้านบาท คนไทยได้เงินคืนไป พวกเขาก็กลับมาซื้อของ รัฐบาลก็ได้ภาษีคืน”
 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ