คอลัมนิสต์

"การเมืองคนรุ่นใหม่ ไม่ขัดแย้งแล้ว ใช่หรือไม่?"

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

โดย...  ทีมข่าวการเมือง เครือเนชั่น

 

 

          คนรุ่นใหม่กับการเมืองไทยวันนี้มีเยอะมาก แต่ละพรรคไปคัดสรรหนุ่มสาวหน้าใหม่ที่สนใจและอาสาทำงานการเมืองผ่านการเลือกตั้ง

 

          "ความขัดแย้ง” คือหนึ่งปมปัญหาที่สังคมไทยติดหล่มนี้มานานหลายปี ฉะนั้นหนุ่มสาวหน้าใหม่บนสนามการเมืองจะช่วยหาวิธีแก้ไขและลดความขัดแย้งนี้ให้จางหายไปจากสังคมไทยได้อย่างไร

 

 

          ตัวแทน 5 พรรคคือ ประชาธิปัตย์, เพื่อไทย, พลังประชารัฐ, เพื่อชาติ และภูมิใจไทย สะท้อนไอเดียนี้ออกมาโดยเชื่อว่าจะแก้ไขความขัดแย้งที่มีมายาวนานให้ยุติลงได้และเพื่อให้เมืองไทยกลับไปเป็นสยามเมืองยิ้มเต็มรูปแบบอีกครั้ง...


+++


          “รศ.ดร.สิริภิญญ์ อินทรประเสริฐ” ผู้สมัคร ส.ส.นนทบุรี เขต 4 พรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า “วันนี้คนรุ่นใหม่ลงมาทำงานการเมืองกันเยอะในหลายพรรค ตรงนี้เป็นสิ่งที่ดีกับการเมืองไทยในวันนี้และวันหน้า


          เชื่อว่าทุกคนจากทุกพรรคมีความหวังดีกับบ้านเมืองทั้งนั้น ส่วนตัวมองว่าผู้หญิงและผู้ชายที่เป็นคนรุ่นใหม่และอาสาทำงานการเมืองนั้น ทุกคนช่วยแก้ไขความขัดแย้งได้โดยเปิดใจรับฟังกันและกัน เพื่อหลอมรวมสิ่งต่างๆ ให้เป็นหนึ่งเดียว


          ดิฉันก็เป็นหนึ่งในคนหน้าใหม่ที่มั่นใจในนโยบายพรรคที่มีจุดยืนเป็นกลางทางการเมืองและไม่ใช่คู่ขัดแย้งกับใคร หัวหน้าพรรคบอกสังคมเสมอว่าพรรคภูมิใจไทยไม่ขัดแย้งกับใคร เพราะประเทศไทยต้องก้าวพ้นความขัดแย้ง ความทุกข์ยาก และความไม่สงบเรียบร้อย ตรงนี้ดิฉันและคนรุ่นใหม่ในพรรคยึดถือและไปชี้แจงกับสังคมตลอดเวลา"

 

+++


          “วิพัตรา โตเต็มโชคชัยการ” กรรมการนโยบาย พรรคประชาธิปัตย์ มองว่า "อันดับแรกคนรุ่นใหม่จะต้องตระหนักถึงความสำคัญ มองเห็นประโยชน์ที่แท้จริง และตั้งเป้าหมายในการก้าวข้ามความขัดแย้งให้ชัดเจนก่อน เพราะเป้าหมายที่ชัดเจน จะนำไปสู่การวางแผนการกำหนดความคิดและพฤติกรรมที่ดีตามมา


 


          หลักการสำคัญของการก้าวข้ามความขัดแย้ง คือ การเปลี่ยนความขัดแย้งเป็น “ความเข้าใจ” เปิดใจให้กว้าง ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างของทุกฝ่าย หาจุดตรงกลางร่วมกันด้วยสันติวิธี โดยใช้ความรู้ความเข้าใจและหลักการของเหตุผล เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม


          ควรเริ่มต้นจากตนเองก่อน เป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ผู้อื่น ฝึกการจัดการอารมณ์ และกระบวนการคิดแก้ปัญหาที่เป็นเหตุเป็นผล ซึ่งวิธีการเหล่านี้เป็นวิธีที่ใช้ในการแก้ปัญหาความขัดแย้งได้ทุกเรื่อง และใช้ได้กับคนทุกรุ่น ไม่เพียงเฉพาะคนรุ่นใหม่เท่านั้น แต่ในขณะเดียวกันสังคมก็ควรต้องมีการสร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชนที่ถูกต้องในเรื่องนี้ มีระบบ กฎหมาย กติกา ที่เป็นธรรมรองรับด้วย เพื่อไม่ให้เป็นต้นเหตุที่ทำให้ผู้คนเกิดความขัดแย้งในใจตามมา


          สำหรับการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองของประเทศไทยที่เรื้อรังมายาวนาน คนไทยทุกคนจำเป็นจะต้องเปลี่ยนการยึดถือประโยชน์ส่วนตน เป็นประโยชน์ส่วนรวม โดยให้ความสำคัญกับการยึดถือประชาชนเป็นใหญ่ ยึดหลักประชาธิปไตยที่สุจริต เปิดกว้างให้ทุกคนมีส่วนร่วม เพื่อพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าด้วยกันอย่างมีความเที่ยงธรรมและสงบสุข แม้ในช่วงแรกอาจจะเป็นเรื่องท้าทาย เพราะแต่ละคนเติบโตมาด้วยการมีประสบการณ์ ความคิดและความเชื่อเดิมที่แตกต่างกัน แต่หากทุกคนทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่ พร้อมมีระบบในสังคมที่ดีรองรับ ประเทศไทยจะสามารถเดินหน้าก้าวข้ามความขัดแย้งจากที่มีอยู่ในปัจจุบันได้มากขึ้นอย่างแน่นอน"


+++


          “จิราพร สินธุไพร” ผู้สมัคร ส.ส.ร้อยเอ็ด เขต 5 พรรคเพื่อไทย ระบุว่า "ปมความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเกิดจากการต่อสู้ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายเผด็จการ หากประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนอย่างแท้จริง สังคมนี้จะไม่เกิดความขัดแย้งที่นำไปสู่ความรุนแรงได้ แต่จะเป็นการแสดงความเห็นที่แตกต่างภายใต้สิทธิเสรีภาพที่เท่าเทียมกัน ซึ่งถือเป็นความสวยงามภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ดังนั้นดิฉันจึงเห็นว่า วิธีการลดความขัดแย้ง คือ ประเทศไทยต้องปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยและอำนาจเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง ในฐานะคนทำงานการเมืองรุ่นใหม่


          ในขณะเดียวกันดิฉันเห็นว่า ผู้หญิงและผู้ชายมีความเท่าเทียมกัน และสามารถปฏิบัติงานทางการเมืองได้ดีเหมือนกัน หากจะมีความแตกต่างคงเป็นเรื่องของแนวความคิด วิสัยทัศน์ และอุดมการณ์ทางการเมืองของแต่ละบุคคล อย่างไรก็ดี ดิฉันเห็นว่า ความเป็นนักการเมืองผู้หญิงมีความได้เปรียบในเรื่องของความอ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ ซึ่งจะเป็นการสร้างบรรยากาศทางการเมืองที่สร้างสรรค์ และช่วยลดอุณหภูมิในยุคที่การเมืองกำลังร้อนแรงได้


          ดิฉันพร้อมทำงานร่วมกับทุกฝ่ายเพื่อหาทางออกจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้น โดยการร่วมกันสร้างกติกาที่เป็นธรรมและเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ในขณะเดียวกันดิฉันเห็นว่าความเป็นนักการเมืองผู้หญิงมีความได้เปรียบในเรื่องของความอ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ ซึ่งจะเป็นการสร้างบรรยากาศทางการเมืองที่สร้างสรรค์ และช่วยลดอุณหภูมิในยุคที่การเมืองกำลังร้อนแรงได้"


+++


          “เกศปรียา แก้วแสนเมือง” โฆษกพรรคเพื่อชาติ กล่าวว่า "พรรคประกาศกับสังคมไปแล้วว่าพรรคจะเป็นเกาะกลางให้ทุกฝ่ายมาพูดคุยเพื่อลดความขัดแย้งทางการเมืองและสังคม จุดเริ่มต้นของพรรคจะพบว่าพรรคมีบุคลากรจากหลากหลาย เปิดให้ทุกฝ่ายที่สนใจมาร่วมอุดมการณ์พรรค ย้ำว่าสมาชิกพรรคไม่ใช่แค่มาจากพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดง พรรคไม่ใช่นอมินีของคนแดนไกล แต่พรรคคือนอมินีของคนไทยทุกคน


          พรรคจะทำงานต่อในนโยบายที่ดีของรัฐบาลและพรรคต่างๆ จากนี้พรรคจะเสนอนโยบายทลายกำแพงใจเพื่อลดความขัดแย้ง วันนี้สังคมคุยกันน้อยลง


          ฉะนั้นวันนี้ควรเปิดใจ โดยให้เจ้าหน้าที่รัฐรณรงค์ในชุมชนต่างๆ เพื่อให้คนในชุมชนพูดคุยกันมากขึ้น


          ความขัดแย้งแม้บางคนยังมองว่ามันยังมีอยู่ในสังคมและยังแบ่งขั้วอยู่ คนรุ่นใหม่ที่เข้ามาการเมืองวันนี้ต้องมองว่าความหลากหลายและแตกต่างในประชาธิปไตย มันคือสิ่งสวยงาม แต่ควรเลือกสิ่งที่คนส่วนใหญ่มองว่าดีต่อบ้านเมือง และไม่ควรยึดแนวคิดตัวเองเป็นหลัก จนไม่ฟังความเห็นคนอื่น


          เชื่อว่าทุกพรรคที่เสนอนโยบายต้องการลดความขัดแย้งและอยากให้บ้านเมืองพัฒนารวมทั้งสงบสุข ปัญหาที่เกิดขึ้นในอดีตนั้น ควรรับฟังคนอื่น ยอมรับจุดดีจุดด้อยของแต่ละฝ่าย คดีต่างๆ ควรยึดกระบวนการยุติธรรม การทลายกำแพงในใจนั้น คือการมานั่งคุยแบบเปิดใจกัน เพราะทุกคนคือคนไทยที่รักแผ่นดิน ควรลดความเชื่อมั่นของตัวเองลงและรับฟังคนอื่นให้มากขึ้น ย้ำว่าสีเสื้อต่างๆ ไม่มีการพูดถึงแล้วในพรรค"


+++


          “ภาดาท์ วรกานนท์" ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขต 6 พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า "พร้อมคุยทุกฝ่าย พรรคมีจุดเริ่มต้นจากการรับฟังทุกกลุ่มและร่วมงานกับทุกฝ่าย พวกดิฉันก็เป็นคนรุ่นใหม่ที่มาจากสาขาอาชีพต่างๆ มาร่วมเวิร์กช็อปกับพรรค เสนอแนวคิดจากคนรุ่นใหม่จนบรรจุเป็นนโยบายพรรคหลายด้าน และให้พวกดิฉันที่เป็นคนรุ่นใหม่มาทำงานการเมืองและผสมกับคนการเมืองที่มีประสบการณ์ ตรงนี้คือการผสมความคิดของคนสองรุ่นในพรรค และเป็นจุดเริ่มต้นของความไม่ขัดแย้ง


          พรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคตั้งใหม่ และแต่ละพรรคมีอุดมการณ์ที่ไม่แตกต่างกันมากนัก เพราะทุกพรรคต้องดูประชาชน แต่พลังประชารัฐนั้น สังคมทราบแล้วว่าพรรคประกาศจะก้าวข้ามความขัดแย้ง เมื่อรวมกับแนวคิดของคนรุ่นใหม่ในพรรคย้ำว่าไม่ต้องการความแตกแยกแล้ว สงครามสีเสื้อนั้นควรไม่มีอีก


          หากใครถามว่าพรรคคือพรรคที่หนุนเผด็จการ ขอถามว่าปัญหาก่อนการยึดอำนาจนั้น ฝ่ายใดที่ก่อปัญหาทางการเมืองและฝ่ายใดที่ออกมายุติปัญหาเพื่อไม่ให้บ้านเมืองบอบช้ำลงไปอีก วันนี้คนไทยเข้าใจเหตุผลที่ คสช.ดำเนินการในช่วงที่ผ่านมาแล้ว และพร้อมก้าวข้ามอดีตเพื่อสร้างอนาคตที่ไม่มีข้อขัดแย้งเกิดขึ้นในสังคม


          ประวัติศาสตร์เพื่อนบ้าน เช่นสิงคโปร์ที่ตั้งประเทศเพราะโดนให้ออกจากการร่วมเป็นรัฐหนึ่งของมาเลเซีย ลี กวน ยู ก็สร้างชาติขึ้นมา แม้วันนั้นลี กวน ยูจะร้องไห้เพราะบ้านเมืองไม่มีทรัพยากรใดๆ แต่ลี กวน ยูก็สร้างชาติและคนสิงคโปร์ขึ้นมาจนเข้มแข็ง ตรงนี้เป็นตัวอย่างที่คนไทยควรศึกษา


          นโยบายของพรรคใดที่ดีนั้น พรรคพร้อมสนับสนุน"
 

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ