คอลัมนิสต์

สร้างภูมิต้านโรคสื่อโซเชียล

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

คอลัมน์...  รู้ลึกกับจุฬาฯ


 

          ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบัน นวัตกรรมเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียมีผลกระทบอย่างมหาศาลต่อพฤติกรรมและความคิดของมนุษย์ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมาในยุคการสื่อสารผ่านโลกไซเบอร์ การยึดติดกับโลกความจริงเสมือน และเสพติดกิจกรรมในโซเชียลมีเดีย ซึ่งแม้จะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีผลเสียและอันตรายที่ซ่อนอยู่ไม่น้อย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยกลุ่มงานบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคล หยิบยกประเด็นปัญหาดังกล่าว มาเป็นหัวข้อเสวนาเรื่อง “SOCIAL MEDIA SYNDROME: โรคโซเชียล การจัดการทางอารมณ์ ผลกระทบการใช้สื่อโซเชียล” เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา (24 ม.ค.)

 

 

          พญ.เบญจพร ตันตสูติ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ หรือ หมอมินบานเย็นจากเพจ “เข็นเด็กขึ้นภูเขา” อธิบายว่า โซเชียลมีเดียซินโดรม หรือโรคสื่อโซเชียล คือภาวะที่ส่งผลจากการใช้อินเทอร์เน็ตหรือโซเชียลมีเดียอย่างไม่เหมาะสม เกิดขึ้นจากความไม่เท่าทันของผู้ใช้ เช่น การใช้สื่อโซเชียลมากเกินไป ทำให้เกิดอาการเสพติด โดยเฉพาะเด็กมักติดการเล่นเกมออนไลน์ การใช้โซเชียลมีเดียต่างๆ ที่มากเกินพอดีจนเกิดผลเสีย เช่น เล่นมากจนนอนน้อยลง ส่งผลต่อการหลั่งฮอร์โมนเจริญเติบโต เด็กวัยรุ่นติดโทรศัพท์มือถือจนเกิดผลเสียต่อร่างกาย มีภาวะอ้วนเพราะไม่ออกกำลังกาย และเกิดอาการสมาธิสั้น เหม่อลอย เข้าสังคมในโลกความเป็นจริงไม่ได้


          คุณหมอเบญจพร เน้นว่าพ่อแม่ควรมีเวลาให้ลูกเพื่อการปลูกฝังภูมิคุ้มกันในการใช้โซเชียลมีเดีย และสร้างเงื่อนไขที่ชัดเจนให้ลูกใช้โซเชียลได้ มีงานวิจัยในต่างประเทศอธิบายว่า เด็กอายุก่อน 2 ขวบไม่ควรรับสื่อด้านไอทีเพราะจะมีผลต่อพัฒนาการทางภาษาและสังคม และเมื่ออายุ 2 ขวบขึ้นไปถึงจะเริ่มดูได้ แต่เริ่มต้นที่การ์ตูนเสริมสร้างจินตนาการ และไม่ควรเป็นแนวแฟนตาซีหรือชวนฝันจนเกินไป


          “แต่พ่อแม่ก็ต้องควบคุมลูกอย่างใกล้ชิด เด็กที่อายุต่ำกว่า 6 ขวบควรดูคลิปดูยูทูบด้วยกันกับพ่อแม่ พอหลังจากนั้นเริ่มปล่อยได้แต่ต้องจับตาดูแลอย่างใกล้ชิดว่าลูกทำอะไร มีการวางระเบียบชัดเจนในการเล่นมือถือ ต่างชาติเรียกว่า Cell Phone Contract Deal กำหนดว่าเล่นได้ช่วงเวลาไหน วันละกี่ชั่วโมง ถ้าลูกผิดสัญญา พ่อแม่จะเก็บมือถือคืน เป็นต้น”




          อย่างไรก็ดี คุณหมอเบญจพรอธิบายว่า พ่อแม่เองก็ควรเข้าใจลูกว่าลูกมีสังคมและชีวิตของตนเอง ดังนั้นไม่ควรมีกฎเกณฑ์มากเกินจนมองไม่เห็นตัวตนของลูก ขณะเดียวกันก็ควรสร้างขอบเขต ทำให้การควบคุมและความเป็นอิสระของลูกสมดุลกัน การปลูกฝังภูมิคุ้มกันให้แก่ลูกตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยลูกได้มากเมื่อโตขึ้น
ที่รัก บุญปรีชา หรือพี่หลาม จิ๊กโก๋ไอที ผู้ผลิตรายการด้านไอที และพิธีกรรายการล้ำหน้าโชว์ ให้มุมมองด้านสื่อว่าโรคโซเชียลซินโดรม เป็นปัญหาที่เกิดจากการตามใจตัวเอง ปัจจุบันการเข้ามาของเทคโนโลยีที่รวดเร็วทำให้หลายคนมีความอดทนน้อยลง รีบร้อนและรีบเร่งในชีวิต มีความกระหายด้านข้อมูลข่าวสารที่ทันท่วงทีโดยไม่ต้องออกจากบ้าน


          “อินเทอร์เน็ตไม่มีหน่วยงานใดเป็นคนควบคุม สิ่งที่เราทำได้คือการทำตัวให้เป็นผู้ใช้งานที่ดี ต้องอย่าลืมว่าในโลกอินเทอร์เน็ตมี Digital Footprint ทำอะไรในเน็ตจะมีบันทึกไว้เสมอ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่สิบปี ดังนั้นต้องระวังตัวเวลาจะทำอะไร”


          ดังนั้นการใช้อินเทอร์เน็ตจึงเหมือนกฎแห่งกรรม เนื่องจากกิจกรรมทางออนไลน์และโลกโซเชียลที่เกิดขึ้นจะถูกบันทึกไว้เสมอ และผลเสียที่อาจจะเกิดขึ้นก็สามารถย้อนมาเป็นหอกทิ่มแทงในอีกหลายปีให้หลัง ที่รัก ยกตัวอย่างว่ามีหลายกรณีที่คนไปสมัครงานแต่ไม่ได้งานเพราะบริษัทที่สัมภาษณ์เห็นข้อความเชิงลบที่โพสต์ลงในโซเชียลมีเดีย ดังนันการตระหนักรู้เรื่องพิษภัยของโลกโซเชียลต้องเริ่มต้นที่พ่อแม่ ผู้ปกครอง ให้เกิดความรู้เท่าทันสื่อโซเชียลด้วยตนเองก่อนที่จะไปสอนลูกหลาน


          พ.ต.อ.นิเวศน์ อาภาวศิน รองผู้บังคับการ กองบังคับการสนับสนุนทางเทคโนโลยี สำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อธิบายแง่มุมเชิงกฎหมายว่าคดีที่พบมากที่สุดในโลกโซเชียลมีเดียคือคดีฉ้อโกงจากการซื้อของออนไลน์ และคดีหมิ่นประมาท แต่คดีการซื้อของออนไลน์แล้วถูกโกงจะไม่นิยมแจ้งความเพราะเห็นเป็นเงินจำนวนเล็กน้อย


          “คนที่จะทำความผิดมี 3 องค์ประกอบ หนึ่งคือแรงจูงใจ สองคือทักษะ สามคือช่องโอกาส อันดับที่ 3 เป็นสิ่งเดียวที่เราควบคุมได้ ในโลกโซเชียลการระบุตัวตนช่วยให้สามารถระบุตัวผู้กระทำผิดและช่วยสอดส่องได้ระดับหนึ่ง”


          "เรามีกฎหมายที่ดีก็จริง แต่การบังคับใช้ให้มีประสิทธิภาพยาก ดังนั้นพ่อแม่มีส่วนช่วยให้บุตรหลานมีภูมิคุ้มกันให้เขาเจอความเสี่ยงน้อยที่สุด” พ.ต.อ.นิเวศน์ สรุป

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ