โดย... ขนิษฐา เทพจร สำนักข่าวเนชั่น
พรรคชาติไทยพัฒนา ใช้ฤกษ์วันที่ 11 มกราคม เปิดที่ทำการสาขาพรรคลำดับที่ 2 ในพื้นที่อำเภอเมือง จ.เพชรบูรณ์ พร้อมเปิดตัว “กัญจนา ศิลปอาชา” หัวหน้าพรรคและ “วราวุธ ศิลปอาชา” ประธานคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์พรรค แกนนำสายเลือดแท้ของพรรคมังกรสุพรรณบุรี ที่พื้นที่เมืองมะขามหวาน
จากเดิมที่ก่อนหน้านั้นพื้นที่ จ.เพชรบูรณ์ มีเพียง “ชุมพล ศิลปอาชา" อดีตหัวหน้าพรรคที่ล่วงลับ และ “พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์” อดีตแกนนำพรรคที่ลาจากไปตลอดกาลเท่านั้น ที่ลงพบปะประชาชน ช่วงช่วย “วิจิตร พรพฤฒิพันธุ์” หาเสียงในพื้นที่เมื่อหลายปีก่อน
ดังนั้นรอบนี้จึงเป็นการ “บุกถิ่นมะขามหวาน” เป็นครั้งแรก ของ “กัญจนา-วราวุธ” และในครั้งแรกนี้ทั้ง 2 คน หยอดคำหวานยิ่งกว่ารสมะขาม ผ่านการขอเป็น “ลูก-หลาน คนเมืองเพชรบูรณ์” และพร้อมทำนโยบายเพื่อคนเพชรบูรณ์ หากว่าที่ผู้สมัครส.ส.ของพรรคได้รับเลือกเข้าไปมีบทบาทในสภาผู้แทนราษฎร
กิจกรรมที่เป็น “ครั้งแรก” เริ่มต้นตั้งแต่เช้าตรู่ในพื้นที่เขตเมือง แกนนำพรรคทั้ง “กัญจนา-วราวุธ” พ่วงด้วยผู้ใหญ่ของพรรค อย่าง “ประภัตร โพธสุธน" เลขาธิการพรรค”-“นิกร จำนง" ผู้อำนวยการพรรค" นำขบวนว่าที่ผู้สมัครส.ส. ในพื้นที่ จ.เพชรบูรณ์ ทั้ง 4 คนที่เตรียมส่งลงชิงชัยใน 4 จาก 5 เขตเลือกตั้ง ประกอบด้วย เขต 1 ส่ง วิจิตร, เขต 2 ส่ง สนม มาระวัง, เขต 3 ส่ง สุระ หรือ เขาทราย-กาแล็คซี่ แสนคำ, เขต 4 ส่ง พีระชัย หรือ เขาค้อ-กาแล็คซี่ แสนคำ แนะนำตัวต่อชาวบ้านในตลาดสดเทศบาล 2
แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ได้รับความสนใจจากประชาชน-ผู้ค้าในพื้นที่ไม่น้อย เห็นได้จากที่เข้ามาขอถ่ายรูปบ้างประปราย และเดินเข้ามาให้เห็นตัวเป็นๆ ใกล้ๆ
และนอกจาก 2 พี่น้องที่ถูกส่งให้เป็น “ตัวเด่น” ในรอบนี้ แต่ “เขาทราย-เขาค้อ” พี่น้องมวยดีกรีแชมป์โลก ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน และเห็นได้ชัดว่าฝาแฝดแชมป์โลกยังเป็นที่รู้จักมากกว่า 2 พี่น้องการเมือง
แม้ 2 พี่น้องที่เดินนำขบวนจะยังไม่เป็นที่รู้จักของชาวบ้านในถิ่นมะขามหวานเขตเมือง แต่ด้วยบุคลิกที่นอบน้อม นั่งลงพูดคุยกับผู้ค้าถึงกิจการและสารทุกข์สุกดิบแบบเป็นกันเอง และอ้อนขอเสียงสนับสนุน 4 ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ทำให้การเข้าถึงชาวบ้าน-ผู้ค้าในตลาด เป็นไปด้วยความชื่นมื่น
เหมือนว่าประชาชนจะตอบรับมากกว่าแสดงท่าทีรังเกียจความเป็น “นักการเมืองต่างถิ่น” ที่คนพื้นที่มักปรามาสว่า มาเจอหน้า ก็แค่ตอนจะเลือกตั้ง
พร้อมยังฝากความทุกข์ร้อนไปให้แก้ไขทั้งจาก “เฮียอ่อน ผู้ค้าเขียงหมู” นายสมบูรณ์ คุ้ยต่วน วัย 66 ปี ที่ดูเหมือนเป็นคู่ปรับของ “เสี่ยแห้ง-วิจิตร” ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เพชรบูรณ์ เขต 1 ของพรรค ตั้งแต่ลงชิงชัยสนามการเมืองท้องถิ่น
“ผมรู้จักพ่อของคุณกัญจนา คือ ท่านบรรหาร ผมจึงฝากเขาว่าขอให้ช่วยพัฒนาเมืองเพชรบูรณ์ให้เจริญเหมือนเมืองสุพรรณบุรี คือสร้างก็สร้างให้เสร็จไปเป็นครั้งๆ ไม่ใช่การของบเพื่อสร้าง เพื่อทุบ และสร้างใหม่อีกซ้ำๆ ดูอย่างพื้นที่ตลาด ที่เขามาทำรางระบายน้ำ เป็นท่อขนาดเล็ก ทั้งที่ผมเคยบอกเขาไปแล้วว่าต้องทำให้ใหญ่เพื่อกำจัดเศษสกปรกในตลาดได้ โดยท่อน้ำไม่อุดตัน แต่เขาก็ไม่ฟัง เขาบอกว่าผมจะไปรู้เรื่องอะไร” เฮียอ่อน สะท้อนปัญหา
ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าพื้นที่การเมืองปัจจุบันของเพชรบูรณ์ “พรรคชาติไทยพัฒนา” ไม่ใช่เบอร์หนึ่งของพื้นที่ แต่สิ่งที่ “เฮียอ่อน” สะท้อนคือสิ่งที่อยากบอกไปถึงนักการเมืองทุกๆ พรรคว่า ขอให้เข้ามาพัฒนาบ้านเมืองได้จริงอย่างที่มาหาเสียงและมาขอคะแนน เพราะหากสามารถพัฒนาได้จริง ประโยชน์จะตกอยู่ที่ประชาชนและบ้านเมืองอย่างยั่งยืน และนักการเมืองคนนั้นจะได้ใจประชาชนอย่างแท้จริง
แน่นอนว่าในวันนี้ไม่ได้มีแค่งานโชว์ตัว “2 พี่น้องตระกูล ศิลปอาชา” และว่าที่ผู้สมัครส.ส.เท่านั้น เพราะหากมองในสัญลักษณ์ทางการเมือง คือ พื้นที่เขต 1 “พรรคเพื่อไทย” ครองมาแล้วในสมัยการเมืองปี 2554 ขณะที่ “วิจิตร” เป็นเพียงอดีตเจ้าของพื้นที่ในปี 2550
ขณะที่ในการเลือกตั้งปี 2562 “พรรคเพื่อไทย” ยังคงยืนยันจะส่งเจ้าของพื้นที่ “สุทัศน์ จันทร์แสงสี” ลงป้องกันแชมป์ และยังมีคู่แข่งที่มีพลังอีก 2 พรรค นั่นคือ พรรคพลังประชารัฐ ที่ส่ง “พิมพ์พร พรพฤฒิพันธุ์” หลานสาว “วิจิตร” ภายใต้การสนับสนุนของ “สันติ พร้อมพัฒน์” ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ส่ง “หมอชัยณรงค์ สือสุรีย์กุล” ผู้คร่ำหวอดในพื้นที่เขตเมือง
แต่งานนี้ “พรรคชาติไทยพัฒนา” ลั่นจะปักธงสีชมพู และคาดว่าจะได้ “ส.ส.ในพื้นที่เขต 1 เพชรบูรณ์” ให้ได้
เหตุผลที่มั่นใจเพราะการแบ่งพื้นที่เลือกตั้งสร้างความได้เปรียบให้แก่ “วิจิตร” พอสมควร
โดยเขต 1 จ.เพชรบูรณ์ มีพื้นที่เลือกตั้งประกอบด้วย อ.เมืองเพชรบูรณ์ (เฉพาะเทศบาลเมืองเพชร, เทศบาล ตำบลนางั่ว, เทศบาลตำบลท่าผล, ต.ท่าผล, ต.สะเดียง, ต.ป่าเล่า) ต.ดงมูลเหล็ก, ต.บ้านโคก และต.ห้วยใหญ่, อ.เขาค้อ, อ.หล่มสัก (เฉพาะต.น้ำงุ้น, ต.หนองไขว้, ต.น้ำก้อ และต.บุงคล้า)
แม้เขตเมืองจะถูกหั่นไปรวมกับพื้นที่รอบนอกแต่สำหรับ “วิจิตร” บอกว่าเป็นงานสบาย เพราะสมัยที่เขาเข้าสังกัด “พรรคเพื่อไทย” ในสมัยการเมืองที่แล้ว เขาเคยลุยงานในพื้นที่เขตรอบนอกเมืองซึ่งเป็นพื้นที่ที่ถูกหั่นไปรวมกับพื้นที่เมืองในปัจจุบัน
“ผมมีฐานเสียงพอสมควรในพื้นที่รอบนอก ดังนั้นหากจะเข้าไปฟื้นความนิยมเชื่อว่าไม่ใช่เรื่องยากเกินไป แต่ยอมรับว่าพื้นที่เขตเมืองเพชรบูรณ์อาจต้องทำงานให้หนักขึ้นเพราะหลานสาวผม พิมพ์พร ที่ไปสังกัดพรรคพลังประชารัฐ จะเป็นตัวหารคะแนนของผม แต่พื้นที่รอบนอกเขาไม่ได้เช่นเดียวกับผู้สมัครของพรรคอื่นที่ยังไม่ได้แนะนำตัวไปถึงพื้นที่รอบนอก ดังนั้นเลือกตั้งครั้งนี้ผมเรียกว่าได้เปรียบกว่าใครเพื่อน” ว่าที่ผู้สมัครส.ส.-วิจิตร เฉลยความได้เปรียบ
ขณะที่ในเขตเลือกตั้งอีก 3 แห่ง ยกเว้นเขต 5 ที่พรรคชาติไทยพัฒนาเลือกจะไม่ส่งคนเก็บคะแนนนั้น อย่างที่บอกไปคือ ส่ง “ครูสนม” ลงเขต 2 ส่ง “เขาทราย” ลงเขต 3 และส่ง “เขาค้อ” ลงเขต 4 แต่ทั้งหมดคือ “ตัวประดับ” เป็นคนเก็บแต้มให้ “พรรคชาติไทยพัฒนา” ไปคำนวณเพื่อให้ได้ “ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ”
แม้ “ครูสนม-เขาค้อ” จะยอมรับในความจริงข้อนี้ แต่สำหรับ “เขาทราย” ที่เคยผ่านสมรภูมิเลือกตั้งมาแล้ว 1 รอบ ไม่ได้คิดเช่นนั้น
ซึ่งตอนหนึ่งของ “เขาทราย กาแล็คซี่” ปราศรัยกับชาวบ้านในงานเปิดสาขาพรรคลำดับที่ 2 เขาเปรียบการขึ้นสังเวียนการเมืองเป็นเหมือนสังเวียนนักสู้
“ผมเป็นนักมวยที่ฉลาดที่สุดในโลก เพราะแขวนนวม ก่อนที่จะแพ้ใครผมป้องกันแชมป์ได้ถึง 19 ครั้ง เพราะเสียงพี่น้องชาวไทยบอกให้ผมสู้ ผมคิดถึงคนไทยที่ให้กำลังใจและกำลังใจจากคนเพชรบูรณ์ ดังนั้นรื่องอะไรที่ผมจะยอมแพ้ หากผมโดนต่อยล้มจะรีบลุกขึ้นมาใหม่ ซึ่งงานนี้เช่นกันที่หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนามอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้ ทั้งส่งผมสมัครรับเลือกตั้ง ดังนั้นผมจะสู้ศึกเลือกตั้งให้เต็มที่”
และด้วยที่ดีกรีนักสู้เป็นแชมป์ระดับโลกและลงเลือกตั้งมาแล้วรอบนี้เป็นครั้งที่ 2 เขาหมายมั่นที่จะคว้าแชมป์ ขณะเดียวกันแกนนำพรรคอย่าง “ประภัตร” ประกาศก้องไว้ว่าอยากได้นักมวยแชมป์โลกเข้าไปเป็นผู้แทนในสภาผู้แทนราษฎรเพื่อสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ให้คนไทย
อย่างไรก็ดีในศึกทางการเมืองหากจะเปรียบกับการสู้บนสังเวียน มีกติกา มีกรรมการที่ทำหน้าที่เถรตรง คงเทียบเคียงกันไม่ได้ เพราะ “การเมือง” เป็นสนามที่ทดสอบ “คนมีสิทธิเลือกตั้ง” ที่แสนจะเดาใจได้ยาก และยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่เหนือกว่าความมีชื่อเสียง-การสร้างคุณความดีให้ประเทศและได้รับการยอมรับจากสากล
ดังนั้นสนามการเมือง “เพชรบูรณ์” อาจเรียกได้ว่าเป็นสนามการเมืองแห่งสีสัน ที่ต่อให้ใครจะแพ้หรือชนะเลือกตั้งสุดท้าย 5 เสียงจากส.ส.ก็เป็นเพียงเสียงเพื่อต่อรองเกมทางการเมืองอยู่ดี
ข่าวที่เกี่ยวข้อง