เลือกตั้ง ทางออกหรือทางตัน 

          เมื่อทักษิณตั้งธงรื้อรัฐธรรมนูญ มีเสียงตอบรับทันทีที่การเลือกตั้งชัดเจนหลังการประชุม 7 ธันวาคม ที่ผ่านมา ว่าการเลือกตั้งที่หลายคนถวิลหา จะเกิดขึ้น 24 กุมภาพันธ์ มีเวลาตามขั้นตอนที่ชัดแจ้ง ทั้งการปลดล็อกทางการเมืองให้พรรคการเมือง จัดประชุม รณรงค์หาเสียง ได้ตั้งแต่ 11 ธันวาคม ที่ผ่านมา และจะตามมาด้วยพระราชกฤษฎีกาจัดการเลือกตั้ง ในช่วงปีใหม่ เปิดรับสมัครผู้จะลงชิง ส.ส. 14-18 มกราคม ทั้งระบบเขตและบัญชีรายชื่อรวมทั้งการยื่นบัญชีผู้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี พรรคละไม่เกิน 3 ชื่อในคราวเดียวกัน 

          เหมือนเส้นทางประชาธิปไตยจะสดใส หลังเลือกตั้งบ้านเมืองจะเริ่มต้นใหม่ในบรรยากาศที่ดี แต่แล้วทันทีที่ปลดล็อกการเมือง ตัวต้นเหตุแห่งความขัดแย้ง และทำให้เกิด “กีฬาสี” มากว่าทศวรรษ อย่าง ทักษิณ ชินวัตร กลับโพสต์ล่มทำลายความฝัน ด้วยการประกาศว่า จะแก้ไขรัฐธรรมนูญทันทีหลังเลือกตั้ง เพราะมั่นใจว่าพรรคในเครือข่ายตนจะชนะ 

          ตามมาด้วยลูกหาบอย่าง เฉลิม อยู่บำรุง ในร่มเงาเพื่อไทย ประสานเสียงกับพรรคในเครือข่ายอย่างเพื่อชาติ และพรรคพันธมิตรหลักอย่าง อนาคตใหม่ ที่ก่อกระแส “แก้รัฐธรรมนูญ” เป็นหลัก ส่วนปัญหาปากท้องของประชาชน ไว้ทีหลัง

          การประกาศแก้กติกาและกฎหมาย เพื่อประโยชน์ของตน เพื่อเป็น “กุญแจ” ที่จะไปแก้ไขเรื่องอื่น ที่จะทำให้ ทักษิณ ชินวัตร “กลับบ้าน” หลังเร่ร่อนอยู่ต่างแดนกว่า 10 ปี เหมือนครั้งในอดีตที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ต้องล่มสลาย เพราะ "ทักษิณสั่ง เฉลิมตาม" ในการออกกฎหมายนิรโทษกรรม หรือที่ เฉลิม อยู่บำรุง เรียกว่า “พ.ร.บ.สุดซอย" สุดซอยจนกระทั่งอยู่ไม่ได้ทั้งคณะ แทนที่จะจำเป็นบทเรียนว่าการไขว่คว้าอำนาจทางการเมืองนั้น ที่ถูกต้อง คือการได้อำนาจมาเพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศชาติและประชาชน ไม่ใช่มุ่งหวังแก้ปัญหาตนและพวกพ้อง 

          ว่ากันตรงไปตรงมา ประชาชนไม่ได้เดือดร้อนกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพราะมีการลงประชามติรับมาด้วยคะแนนกว่า 16 ล้านเสียง มากกว่าเสียงสนับสนุนพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งปี 2554 

          แก้หรือไม่แก้รัฐธรรมนูญเชื่อว่าประชาชนไม่เห็นความจำเป็นต้องเร่งทำก่อนการแก้ไขปัญหาชาติและความเป็นอยู่ของราษฎร ที่มีปัญหาสุมกองอยู่ ทำไมไม่ลองใช้รัฐธรรมนูญที่ผ่านการลงมติของประชาชนไปสักระยะหนึ่งก่อน หากใช้ไปพบว่าเป็นอุปสรรคกับประเทศ และประชาชนเห็นเป็นประจักษ์ แล้วค่อยแก้ก็ยังไม่สาย หรือเป็นเพราะหมดมุกในการผลิตนโยบายสร้างกระแส ความนิยม เพราะคนผลิตนโยบาย ในครั้งเป็นไทยรักไทยกลับมานั่งขับเคลื่อนให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เสียแล้ว และที่สำคัญ ลด-แลก-แจก-แถม สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ทำหมดจนไม่มีช่องว่างให้ทักษิณ “คิดใหม่ ทำใหม่” เลยต้องคิดตามธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ สร้างวาทกรรม “รื้อรัฐธรรมนูญ” “ต้านเผด็จการ" มาสู้ แต่จะทำอะไรให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ไม่มีนำเสนอ

          การที่ ทักษิณ ชินวัตร และพรรคในเครือข่าย มุ่งเน้นการแก้กติกาเพื่อตนเอง มากกว่าการจะเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาของประเทศและประชาชน ทำให้ความหวังว่าการเลือกตั้งจะเป็น “ทางออก" จะกลับมาแย่งแบ่งขั้วกันเหมือนเดิม 

          มีการวิเคราะห์ล่วงหน้าแล้วว่า ถ้าเกิดการแบ่งขั้ว จะเกิด 3 ขั้ว คือ ทักษิณ-ประชาธิปัตย์-พลังประชารัฐ ถ้าไม่เลิกเสียจะจัดตั้งรัฐบาลเดินหน้าประเทศไม่ได้ เมื่อนั้นทางตันทางการเมืองจะเกิดขึ้น ระวัง “กีฬาสี” จะกลับมา