คอลัมนิสต์

จับตาลีลา"สนธิรัตน์"บนเวทีการเมือง

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

จับตาลีลา"สนธิรัตน์"บนเวทีการเมือง : คอลัมน์...  ขยายปมร้อน  โดย... เร้นกาย ไร้เงา


 

          “วันนี้(18 พ.ย.)จะเป็นการประกาศศักดาก้าวที่ 1 ของพรรคพลังประชารัฐ วันนี้ลองมองไปที่หน้าของทุกคนผมแทบไม่เชื่อสายตาว่าพรรคนี้จะรวบรวมผู้คนได้มากมายขนาดนี้ มากันเยอะขนาดนี้เราคงได้ ส.ส. ทั้ง 350 และชื่อของพลังประชารัฐ ไม่ได้เอาชื่อใครมา แต่ประชารัฐคือคนทุกคนที่เป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย ประชารัฐไม่ได้ขโมยใครมาแต่เราเห็นว่าจะทำงานการเมืองทั้งทีมันไม่ต้องเป็นของคนใดคนหนึ่ง ไม่ได้เป็นของภาคใดภาคหนึ่ง ไม่ได้มีเจ้าของคนใดคนหนึ่ง วันนี้จึงมีพวกเราที่นี่“

 

 

          นับว่าลีลาไม่เบาสำหรับคนที่ขึ้นกุมบังเหียนเลขาธิการพรรคครั้งเเรกเเล้วมีวาทะทางการเมืองได้เช่นนี้
 

          “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” รมว.พาณิชย์ ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐคือเจ้าของวาทะดังกล่าว โดยคนการเมืองจากหลากพรรคออกมา”ปะ ฉะ ดะ”กับสิ่งที่เเม่บ้านพปชร.สะท้อนออกมา


          สนธิรัตน์อธิบายคำพูดนั้นในช่วงก่อนประชุมครม.ครั้งล่าสุดว่า“ในวันดังกล่าวผมพูดกับสมาชิกพรรค ถือเป็นการพูดให้กำลังใจกับสมาชิกพรรคที่ประสงค์จะลงรับสมัคร ส.ส.เพื่อให้เกิดกำลังใจในการทำงานทั้ง350เขต และเกิดความเข้มแข็งในพื้นที่ จึงพูดไปว่าถ้ามีบุคลากรคุณภาพมากมายขนาดนี้ก็อาจจะได้ทั้ง350เขต เป็นเพียงวาทกรรมให้กำลังใจ ไม่ได้หมายความว่าเราจะกวาด350เขต ซึ่งทางการเมืองเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว”
 

          “เป้าหมายในการจะได้ ส.ส.กี่คนนั้น พรรคจะทำให้ดีที่สุดในการทำงาน แน่นอนว่าพรรคต้องทำหน้าที่เต็มความสามารถทั้งตัวบุคคลและนโยบาย ส่วนผลจะเป็นอย่างไรเป็นเรื่องของพี่น้องประชาชนจะตัดสินใจและลงคะแนน คงไม่สามารถบอกได้ว่าจำนวนจะเป็นเท่าไร เพราะเราไม่ได้กำหนดว่าต้องเท่านั้นเท่านี้ แต่เราจะคัดสรรตัวผู้สมัครโดยกระบวนการของพรรคอย่างเหมาะสมที่สุด ตามความต้องการของประชาชนในเขตเลือกตั้งนั้นๆ ผสมผสานกับนโยบายของพรรคที่สามารถให้ความมั่นใจกับประชาชน”
 



          ไม่น่าเชื่อว่าวาทะเหล่านี้จะมาจากบุรุษที่ไม่เคยลงสนามการเมือง(อย่างเป็นทางการในฐานะสมาชิกพรรคเเละเเกนนำพรรคการเมือง) เพราะวาทะเบื้องต้นนั้นสร้างปรากฏการณ์จนมีเเรงกระเพื่อมบนสนามการเมืองไทยได้ปานนี้


          หากลองไล่เรียงประวัติของชายคนนี้ที่เข้ามาทำหน้าที่เเม่บ้านพรรค(ซึ่งอัตราต่อรองวันนี้พปชร.อยู่ในฐานะเต็งสองหรือเต็งสามที่จะมีโอกาสเป็นเเกนนำตั้งรัฐบาล)นั้นจะพบว่า การดำเนินชีวิตทางธุรกิจของสนธิรัตน์นั้นมีทั้งสำเร็จเเละล้มลุกคลุกคลาน รวมทั้งยังเเบ่งเวลาไปช่วยงานสังคมหลากด้าน จนทำให้คอนเน็กชั่นทั้งบนดินเเละใต้ดินในช่วงเวลาที่ผ่านมาจวบจนการขึ้นเป็นเสนาบดีของสนธิรัตน์ “มีครบ”
 

          เมื่อย่างก้าวรับหน้าที่เลขาธิการพรรคใหม่เเละค่อนข้างใหญ่(เเถมมีภาพที่หลายคนมองว่าใกล้ชิดอดีตเเม่ทัพนายกอง)นั้น การกำกับบทบาทความเป็นไปทั้งหน้าฉากเเละหลังบ้าน รวมทั้งกระบวนศึกทั้งบนดินเเละใต้ดิน ภารกิจเหล่านี้อยู่บนบ่าของสนธิรัตน์ (ในอดีตที่ผ่านมาปรากฏการณ์การเมืองไทยนั้น หัวหน้าพรรคมักจะมีเลขาธิการพรรคที่ครบเครื่อง เพราะเเม่บ้านพรรคนั้นต้องดูเเลสมาชิกพรรค การประสานงานกับพรรคต่างๆ รวมทั้งเครือข่ายต่างๆเพื่อมิให้ผลลบกระทบต่อภาพลักษณ์ของพรรค พูดง่ายๆเลขาธิการพรรคคือ“ทัพหน้า”ที่กุมสรรพกำลังไว้ในมือไม่น้อยไปกว่า“ทัพหลวง”คือหัวหน้าพรรคเลย)


          เเละหากผลการเลือกตั้งออกมาเเบบใด...(หากพปชร.มีโอกาสเป็นเเกนนำตั้งรัฐบาล)เเม่บ้านพรรคคือขุนพลด่านเเรกที่ต้องออกไปเจรจา ตกลงเงื่อนไข เเละรับคำสัญญาจากพรรคต่างๆในการฟอร์มรัฐบาลชุดใหม่


          รวมทั้งควบคุมจังหวะก้าวของว่าที่รัฐบาลใหม่ให้เดินหน้าเเบบสะดวกโยธิน 


          หลายคนมองว่า ลีลาช่วงนี้ของสนธิรัตน์นั้น“ดูเเคลนมิได้”เพราะชายคนนี้“มิใช่ละอ่อนทางการเมือง”อย่างที่คนการเมืองบางชีวิตหยันไว้   เเละจากนี้ต้องดูจังหวะย่างก้าวของสนธิรัตน์ว่า “จะสมราคา”ดั่งที่”สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” อดีตเลขาธิการพรรคไทยรักไทยกล่าวไว้หรือไม่ว่า
 

          “การเปิดพรรคครั้งนี้ ถือว่ายิ่งใหญ่กว่าการเปิดตัวพรรคไทยรักไทยที่ผมเคยอยู่ด้วยซ้ำเพราะทุกคนที่สมัครเข้าเป็นสมาชิก และเตรียมสมัคร ส.ส.นั้นคุณภาพคับแก้ว...”เเละ"คนที่ชักชวนมาบอกผมว่า ถ้าไม่มีพรรคการเมืองใหม่ สองพรรคการเมืองเดิมก็จะเข้ามา จากนั้นจะเกิดวิกฤติการเมือง ไม่เกิดการพัฒนา จึงต้องมีพรรคทางเลือก เราจึงเข้ามา ผ่านไปเกือบ 8 เดือน ต่อไปนี้จะเป็นขั้นที่ 2 เราจะต้องได้ ส.ส.เกิน 150 คน จากประสบการณ์และทำโพลต่างๆ ผมมั่นใจว่า ได้แน่นอน 150 เสียง วันนี้ผมเห็นดาวรุ่งไฮด์ปาร์คคนใหม่ คือนายสนธินรัตน์ จึงขอให้ท่านรีบลาออก เพื่อไปช่วยพรรคปราศรัยหาเสียง...”
 

          ฉะนั้นจากนี้ไปย่างก้าวของ“สนธิรัตน์”จะเป็นเสมือนหนึ่งสัญญาณทางการเมืองที่สื่อให้เกิดผลในทางใดทางหนึ่ง...
 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ