
เบื้องหลัง!! จากทหารเสือ "ลุงกำนัน" สู่ขุนพลคู่ใจ "ลุงตู่"
สัมภาษณ์พิเศษ "บี พุทธิพงษ์" ที่วันนี้กลายเป็นขุนพลคู่ใจ "ลุงตู่" คนที่เขาบอกว่าทั้งบุคลิกและนิสัยเหมือน "คุณปู่" ของเขาเป๊ะ และเบื้องหลังการปั้น "ตู่ดิจิทัล"
ถูกจับตาไม่น้อยสำหรับการที่ “บี -พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์” เปลี่ยนเส้นทางทางการเมืองจากพรรคประชาธิปัตย์ที่เขาเคยอยู่มา 18 ปี มาสังกัด “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา”
“พุทธพงษ์” เข้ามารับตำแหน่ง “รองเลขาธิการนายกฯ” ช่วยงาน “บิ๊กตู่” อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 กันยายน ที่ผ่านมา
ถามถึงปัจจัยที่ทำให้ตัดสินใจออกจากพรรคประชาธิปัตย์ พุทธิพงษ์ กล่าวว่ามาจากแนวคิดว่าอยากให้บ้านเมืองสงบ เดินหน้าไปได้ 10 กว่าปีที่ผ่านมา ไม่มีใครถูกใครผิดทั้งหมด
“ผมประทับใจในตัว พล.อ.ประยุทธ์ ท่านเป็นผู้นำที่มีความชัดเจนและเด็ดขาดมีความเป็นผู้นำที่ผมชื่นชม คือมองผลสัมฤทธิ์ของงาน และสามารถทำให้บ้านเมืองสงบได้คนบอกท่านมาจากเผด็จการ บางคนว่าท่านปิดกั้น ไม่นานมานี้ท่านยอมเปิดโซเชียลมีเดีย เสียงสะท้อนที่เข้ามามีทั้งก้อนอิฐก้อนหิน ท่านจะไม่ทราบหรือว่าท่านเปิดแล้วจะมี”
ภารกิจแรก ปั้น “ตู่จิทัล”
ไม่กี่วันจากนั้น เขาก็สร้างผลงานปั้น“ตู่ดิจิทัล” ออกมา ด้วยการดึง “พล.อ.ประยุทธ์” เข้าไปอยู่ในโลกโซเชียล เปิดทั้งเฟซบุ๊ก ไอจี ทวิตเตอร์ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ “ลุงตู่” เคยบอกจะไม่เปิดเฟซบุ๊ก
“พุทธิพงษ์” เปิดเผยระหว่างให้สัมภาษณ์พิเศษ “คม ชัด ลึก” ว่า ภารกิจนำพา “ลุงตู่” สู่โลกโซเชียลเป็นแผนงานที่เขานำเสนอไว้อย่างชัดเจนก่อนจะเข้ามาช่วยงาน พล.อ.ประยุทธ์
ถามว่าทำอย่างไรให้พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ถูกกับโซเชียลมีเดียอย่างชัดเจน ยอมเปลี่ยนใจ พุทธิพงษ์ บอกว่า “ผมเสนอด้วยเหตุผล ท่าน(พล.อ.ประยุทธ์)เป็นคนมีเหตุมีผลเป็นคนให้โอกาส ผมไม่ได้รู้จักท่านมาก่อนเป็นการส่วนตัว ผมเสนอแนวคิดในการทำงานที่ผมอยากทำท่านและทีมงานได้คุยกับผมในสิ่งที่ผมอยากทำและคิดว่าจะไปช่วยเติมเต็มในเรื่องการสื่อสาร ทำให้รัฐบาลสามารถสื่อสารในหลายแง่มุมกับพี่น้องประชาชนได้”
"ผมเสนอแนวคิดไปว่าการสื่อสารกับพี่น้องประชาชนในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา น่าจะเพิ่มช่องทางการสื่อสาร ถามว่าเหตุผลที่ต้องเพิ่มคืออะไร เพราะวันนี้ประชาชนมีความคุ้นเคย คุ้นชินกับการใช้โซเชียลมีเดียในการเข้าถึงข่าวสารต่างๆฉะนั้นช่องทางในการสื่อสารของรัฐบาลกับประชาชนก็ควรต้องปรับเข้าไปสู่ช่องทางที่ประชาชนสะดวกที่สุด ประชาชนใช้ช่องทางนี้อยู่ เราก็ต้องปรับตัวเราเพื่อเข้าไปหา
สอง ที่ผ่านมาประชาชนอาจจะมีความรู้สึกว่าการเข้าถึง พล.อ.ประยุทธ์ยาก การสื่อสารไปที่รัฐบาลอาจจะยาก ถามว่าท่านปิดกั้นไหม ไม่ใช่ แต่อาจจะไม่มีช่องทางที่จะสื่อสาร อาจจะมีคนไปร้องเรียน ร้องทุกข์ตามกระทรวง ศูนย์ดำรงธรรม แต่ถามว่าคืบหน้าอย่างไร อาจจะไม่มีการสะท้อนกลับไป ผมว่าข้อดีของโซเชียลมีเดียคือ เป็นการสื่อสาร 2 ทาง โพสต์อะไรไป ประชาชนสามารถเข้ามาคอมเม้นท์ได้ ประชาชนมีปัญหาอะไรสามารถเข้ามาโพสต์มาคอมเม้นท์ได้ คนที่ตามก็จะเห็นว่าโพสต์กี่โมง อย่างไร เจ้าตัวมีตัวตนไหม เข้าไปดูโพรไฟล์ได้ เป็นใคร อยู่ที่ไหน เหมือนเป็นการยืนยันตัวบุคคล
แต่แน่นอนการเปิดแบบนี้ เป็นการสื่อสาร 2 ทาง เท่ากับว่าเราใช้ระบบเทคโนโลยี่ใหม่มาช่วยในการสื่อสาร แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีอีกมุมนึง เปิดช่องทางแบบนี้ก็มีคนเข้ามาถล่มทั้งต่อว่า ไม่เห็นด้วย ด่าทอ ผมก็รายงานไปว่าต้องเป็นแบบนี้ เพราะนี่คือการเปิดช่องทาง แต่ สาระสำคัญที่เราคิดว่าควรมี คือ การสื่อสารกับประชาชน และเชื่อว่าระยะยาวจะดี เปิดครั้งแรกก็อาจจะเรียกว่าอั้นอยู่ คือ4 ปีไม่รู้จะระบายอะไร ยังไง จึงเห็นว่า 2-3 วันแรกมากันมันเลย พอผ่านไป 2 อาทิตย์กว่า ๆ จะเริ่มเห็นแล้วว่าสิ่งที่ดีคือเริ่มมีเรื่องร้องเรียนของชาวบ้านเข้ามา"
ถามว่าผ่านมาประมาณ 2 สัปดาห์ พล.อ.ประยุทธ์พอใจแค่ไหน พุทธิพงษ์ บอกว่า “ผมคิดว่าถ้ามองในมุมการแก้ไขปัญหาให้ประชาชน ประชาชนส่งเข้ามา นายกฯเล่นเอง อ่านเอง สั่งการเอง ผมคิดว่านี่เป็นมิติใหม่ในการแก้ไขปัญหาให้ประชาชน ถ้ามองในมิติว่าประสบความสำเร็จไหม ผมคิดว่าการเปิดครั้งนี้ท่านนายกฯไม่ได้มองที่ปริมาณยอดไลค์ภาพที่เราสามารถไปแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน แม้รายสองราย นั่นคือความสำเร็จ เพราะที่ผ่านมา กว่าประชาชนจะได้ร้องเรียน กว่าปัญหาจะได้รับการแก้ไข บางเรื่องเป็นเดือนเป็นปี นี่พอเห็นแล้วดำเนินการได้เลย”
ตำแหน่งเพิ่ม “โฆษกรัฐบาล”
หลังสร้างผลงานปั้น “ตู่ดิจิทัล” ไม่กี่วัน เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา “พุทธิพงษ์” ก็สร้างความฮือฮาอีกครั้ง เมื่อพล.อ.ประยุทธ์ มอบหมายให้ทำหน้าที่ “โฆษกรัฐบาล” แทน พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ที่จะไปทำหน้าที่อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์อย่างเต็มตัว โดย พล.อ.ประยุทธ์ ให้เหตุผลโดยสรุปว่า พุฒิพงษ์สามารถใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ไม่เหมือนทหารที่ใช้ภาษาทางการ
พุทธิพงษ์ กล่าวว่าจริงๆั ไม่เคยคาดหวังว่าจะมารับตำแหน่งโฆษกรัฐบาลเพราะเคยเป็นรองโฆษกรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาก่อนเข้าใจดีว่าเป็นตำแหน่งที่มีความยากระดับหนึ่ง การให้สัมภาษณ์ต้องระมัดระวังและรอบคอบมากยิ่งขึ้น สิ่งที่พูดไปอาจจะเป็นพูดในนามรัฐบาลโดยรวม ไม่ได้เป็นพูดในนามนายกฯคนเดียวด้วย
เทียบโฆษกรัฐบาลพลเรือนกับรัฐบาลทหาร
ถามถึงความแตกต่างในการทำหน้าที่โฆษกรัฐบาลพลเรือนกับรัฐบาลทหาร พุทธิพงษ์ ยอมรับว่าแตกต่างกันประเด็นที่จะสื่อสารกับประชาชนของรัฐบาลทหารอาจจะต้องทำให้หนักขึ้นการสื่อสารของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไปถึงประชาชนจะง่ายกว่า เพราะมี ส.ส.ในสภาทั้งฝ่ายรัฐบาล และีฝ่ายค้านไปช่วยหาเสียง คือ ถ้ามีนโยบายที่เป็นประโยชน์กับประชาชน ส.ส.ก็จะลงไปพูดกับชาวบ้านประชาชนก็จะรู้ได้เร็วขึ้นขณะที่รัฐบาลทหาร การสื่อสารกับชาวบ้านอาจจะไม่ชัดเจน ช่องทางในการสื่อสารไม่ง่าย
ถามว่าทำไมต้องเป็นพุทธิพงษ์ที่มาเป็นโฆษกรัฐบาล เจ้าตัวบอกว่า “ถามว่าอยากเป็นไหม ไม่อยากเป็น ไม่ได้เป็นแผนที่อยู่ในแนวคิด แต่เมื่อเป็นแล้วก็ทำงานเต็มที่ และต้องทำให้ดีที่สุดที่เลือกผม อาจจะเพราะตอนที่ผมเป็นรองเลขาธิการนายกฯ ผมมีโอกาสให้สัมภาษณ์กับสื่ออยู่บ้าง ก็สามารถทำได้ และอาจจะเป็นเรื่องคำพูดและภาษาที่ใช้ ที่เป็นภาษาง่ายๆ ไม่ต้องเป็นขั้นตอนทางการมาก และสื่อสารให้พี่น้องประชาชนเข้าใจ”
พุทธิพงษ์ ยืนยันว่า ตำแหน่งโฆษกรัฐบาลไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขการเข้ามาช่วยงาน พล.อ.ประยุทธ์
นอกจาก “สังกัด” พล.อ.ประยุทธ์ แล้ว พุทธิพงษ์ ยังสังกัดพรรคพลังประชารัฐ ที่มี “อุตตม สาวนายน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหัวหน้าพรรคด้วย โดยเขามีตำแหน่งเป็นกรรมการบริหารพรรค อย่างไรก็ตาม พุทธิพงษ์ บอกว่า เขายังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะลงสมัคร ส.ส.ในการเลือกตั้งครั้งต่อไปหรือไม่ แต่เบื้องต้นไม่ลงสมัคร ส.ส.เขตแน่นอน เพราะการจะลงสมัคร ส.ส.เขต ต้องมีเวลาลงพื้นที่ เมื่อเขามาทำหน้าที่ตรงนี้จึงไม่มีเวลาลงพื้นที่ ส่วนจะลง ส.ส.บัญชีรายชื่อหรือไม่ ก็ยังไม่สามารถตอบได้ ยังไม่รู้ว่าจะอยู่ลำดับเท่าไร ถ้าอยู่ลำดับที่มากๆ ก็อาจจะขอพักก่อน
“ลูกรักลุงตู่”?
ถามว่ามาทำงานไม่ถึง 2 เดือน ดูเหมือนจะกลายเป็นลูกรักลุงตู่ไปแล้ว พุทธิพงษ์ หัวเราะพลางตอบว่า “พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้รักใครเป็นพิเศษ ท่านเป็นทหาร ผมว่าท่านเป็นคนที่มองอะไรที่มีความเด็ดขาด ชัดเจนว่าอยากทำอะไร อะไรคือสิ่งที่เป็นประโยชน์และอยู่ในช่องทางที่เป็นประโยชน์ สามารถนำไปปฏิบัติได้ เดือนกว่าๆที่ผ่านมาผมได้เข้าเกือบทุกประชุมที่ท่านเป็นประธานเพราะเป็นคำสั่งท่าน ให้ผมเข้าไปรับฟังทุกประชุมตั้งแต่วันแรกที่ผมมาเป็นรองเลขาธิการนายกฯผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมท่านต้องให้เข้าทุกประชุม
ผมเพิ่งมาทราบเหตุผลวันนี้ ท่านอยากให้ผมคุ้นชินว่าวิธีการทำงานของท่านเป็นอย่างไรรูปแบบวิธีคิดในการทำงาน การสั่งการ การติดตามผลงานที่ท่านสั่งไปท่านก็สะท้อนมาในการประชุมแต่ละครั้งท่านมีความเป็นห่วงและกังวลอะไร ท่านอยากจะสื่ออะไรกับประชาชนบ้าง เดี๋ยวนี้ผมเข้าประชุม ผมก็จะจดทุกๆความเป็นห่วง ความกังวลของท่าน การสั่งการของท่าน และพยายามสื่อไปในทุกกลุ่มผ่านสื่อมวลชน ผ่านโซเชียลมีเดียต่างๆผมก็สะท้อนต่อยอดสิ่งที่ท่านตั้งใจ เป็นบุคลิกคาแรกเตอร์ผู้นำที่ผมประทับใจ”
ถามว่าจากลักษณะการทำงานดังกล่าว ยิ่งทำให้ดูเหมือนว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะมากลับมาเป็นนายกฯอีก พุทธิพงษ์ กล่าวว่า จนถึงวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่เคยบอกว่าตัดสินใจยังไง จะไปกับใคร หรือจะเดินต่อทางไหน พล.อ.ประยุทธ์ พูดอย่างเดียวว่าด้วยเวลาที่เหลืออยู่ก่อนจะเข้าสู่โรดแม็พการเลือกตั้งให้ทำงานให้เต็มที่ คือสื่อสารให้ประชาชนได้เห็นว่างานที่ทำไปคืออะไร ติดปัญหาอะไร สะท้อนปัญหาของประชาชนในนโยบายที่ลงไปมาบอกท่าน ท่านจะรีบทำ ท่านเป็นคนใจร้อน
"ท่านไม่ได้เป็นคนขี้โมโหอย่างที่คนอื่นพูด แต่ผมจับทางได้ว่าท่านเป็นคนใจร้อน อยากทำทุกอย่างให้เร็ว ให้เสร็จทันใจ เพราะท่านรู้ว่าปัญหามีเยอะ ท่านสัมผัสทุกเรื่องด้วยตัวเอง ท่านเรียนรู้เยอะ ประชุมเยอะ ท่านอยากทำเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้เสร็จ ผมจึงพยายามช่วยแบ่งเบาภาระท่านในการสื่อสาร อะไรที่ท่านอยากอธิบายก็ช่วยท่านอธิบายเพิ่มให้ประชาชนด้วยภาษาง่ายๆและไม่ได้ไปไกลถึงอนาคตการเมืองต่างๆ ท่านบอกให้ช่วยถึงก่อนเลือกตั้ง ซึ่งเวลาสั้นมาก นับเวลา เหลืออีกไม่กี่เดือน"
“ลุงตู่” เหมือน “คุณปู่” เป๊ะ
พุทธิพงษ์ ยังแสดงให้เห็นถึงความประทับใจในตัว พล.อ.ประยุทธ์ อีก โดยเปรียบเทียบกับ พล.อ.พงษ์ ปุณณกันต์ ปู่ของเขา
“คุณปู่ผมก็แบบนี้เลยบุคลิกและนิสัยเหมือนกันเลย ตัวใหญ่ เสียงดังตัดสินใจ พูดชัดเจนพูดสั้นๆ ง่ายๆ ไม่พูดยาวและก็ปฏิวัติมาเหมือนกัน คุณปู่ปฏิวัติด้วย และเป็นรัฐมนตรีอุตสาหกรรมและรัฐมนตรีคมนาคม มา 14 ปีติดกันครอบครัวเราเติบโตมากับครอบครัวทหาร ก็จะรู้...” พุทธิพงษ์ เล่าอย่างอารมณ์ดี และบอกว่าคุณย่า คือคุณหญิงสะอาด ปุณณกันต์เป็นพี่สาวแท้ๆ ของ พล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร
ในช่วงการชุมนุม กปปส. พุทธิพงษ์ คือ หนึ่งใน “สี่ทหารเสือ” ของ “ลุงกำนัน” สุเทพ เทือกสุบรรณ ร่วมกับ ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ, ชุมพล จุลใส และ สกลธี ภัททิยกุล มีผลงานในการไปปิดล้อมสถานที่สำคัญต่างๆ จนสุดท้ายต้องตกเป็น “จำเลย” คดีกบฏ-ก่อการร้าย
วันนี้ ชัดเจนแล้วว่า “พุทธิพงษ์” ได้กลายมาเป็น “ขุนพลคู่ใจ” พล.อ.ประยุทธ์ ไปเรียบร้อยแล้ว !!
===============================
โดยสมฤทัย ทรัพย์สมบูรณ์, ณัฐภัทร พรหมแก้ว
ดูคลิป : สัมภาษณ์พิเศษ พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์
(อ่านต่อ..."บี-บรู๊ค" พี่น้องต่างขั้ว !!...คลิกที่นี่ )