ข่มขืน!..ภัยใกล้ตัวเด็ก-เยาวชน จากคนใกล้ชิด : รายงาน โดย... ทีมข่าวอาชญากรรม
เป็นที่น่าสลดหดหู่ใจเมื่อพบว่า “ความรุนแรงทางเพศ” ของสังคมไทยยังมียอดพุ่งอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้นเกินครึ่งเกิดจากคนใกล้ตัว หรือคนในครอบครัว โดยจากสถิติที่มีพบว่าเด็กวัยเพียง 5 ขวบ ถูกข่มขืน! และนักศึกษายังเป็นกลุ่มเสี่ยงอันดับแรก
เกี่ยวกับประเด็นความรุนแรงทางเพศที่ยังทวีความรุนแรง และเหตุที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่กลายเป็นคนใกล้ชิด หรือคนในครอบครัว ซึ่งเป็นปัญหาที่น่าวิตก ฉะนั้น มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล จึงได้ร่วมกับ สิรินยา บิชอพ (ซินดี้) เครือข่ายเยาวชนป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) จัดเสวนาในหัวข้อ “ข่มขืน...ภัยใกล้ตัวของเด็กและเยาวชน”
เปิดสถิติที่น่าตกใจจากมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล โดย น.ส.จรีย์ ศรีสวัสดิ์ แจกแจงว่า จากการรวบรวมสถิติข่าวความรุนแรงทางเพศปี 2560 จากหนังสือพิมพ์ 13 ฉบับ พบข่าวความรุนแรงทางเพศ ทั้งหมด 317 ข่าว ในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิตถึง 20 ราย สำหรับปัจจัยกระตุ้นในการก่อเหตุเรื่องนี้ อันดับ 1 เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ร้อยละ 31.1 หรือคิดเป็นหนึ่งในสามโดยประมาณ รองลงมา การอ้างว่ามีอารมณ์ทางเพศ ร้อยละ 28 การใช้สารเสพติด ร้อยละ 16.3 และต้องการชิงทรัพย์ ร้อยละ 11.7
ส่วนอายุของผู้ถูกกระทำเกินกว่าครึ่ง หรือ ร้อยละ 60.6 ยังเป็นกลุ่มเด็กและเยาวชน อายุ 5-20 ปี รองลงมา ร้อยละ 30.9 อายุ 41-60 ปี สำหรับอาชีพของผู้ถูกกระทำ อันดับ 1 เป็นนักเรียน/นักศึกษา ร้อยละ 60.9 รองลงมาคือลูกจ้าง ร้อยละ 21.6 ค้าขาย ร้อยละ 5.2 และเป็นกลุ่มเด็กเล็ก ร้อยละ 4.2 ในขณะที่สถานที่เกิดเหตุส่วนใหญ่เกิดในที่พักของผู้ถูกกระทำ รองลงมาคือที่พักของผู้กระทำ ส่วนพื้นที่เกิดเหตุอันดับ 1 คือ กรุงเทพฯ ร้อยละ 17.4 รองลงมา จ.ชลบุรี ร้อยละ 7.6 จ.สมุทรปราการ ร้อยละ 6.8 จ.ปทุมธานี ร้อยละ 5.2 และ จ.เชียงใหม่ ร้อยละ 4.9
“สิ่งที่น่าสลดคืออายุของผู้ถูกกระทำน้อยที่สุดเป็นแค่เด็กหญิงวัยเพียง 5 ขวบ ถูกข่มขืน และอายุมากสุด คือ 90 ปี ถูกข่มขืน ส่วนอายุของผู้กระทำที่น้อยที่สุดคือ 12 ปี เมื่อลงลึกถึงความสัมพันธ์ของผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ ก็ยิ่งทำให้หดหู่ใจ เพราะส่วนใหญ่เป็นคนรู้จักคุ้นเคย และเป็นบุคคลในครอบครัวกว่าร้อยละ 53 รองลงมา เป็นคนแปลกหน้า ไม่รู้จักกัน ร้อยละ 38.2 และถูกกระทำจากคนที่รู้จักกันผ่านโซเชียลมีเดีย ร้อยละ 8.8 โดยจะเห็นได้ว่า กรณีความสัมพันธ์ที่เป็นคนใกล้ชิด คนรู้จักคุ้นเคย ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในประเภทข่าวข่มขืน และมีหลายกรณีข่าวที่ผู้กระทำมักอาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจ ก่อนล่อลวงทำการข่มขืน ส่งผลกระทบต่อผู้ถูกกระทำ ให้เป็นบาดแผลในใจ หวาดผวา ระแวง กลัว คิดเป็นร้อยละ 26.1” น.ส.จรีย์ ระบุ
น.ส.จรีย์ ยังบอกอีกว่า สิ่งที่น่าห่วงคือถูกบังคับให้มีเพศสัมพันธ์หลายครั้ง ติดต่อกันยาวนาน ร้อยละ 12.8 ถูกขู่ฆ่าหากขัดขืน หรือข่มขู่ห้ามบอกใคร ร้อยละ 12.7 ถูกทำร้ายร่างกายสาหัส ร้อยละ 12 ทั้งนี้ทั้งนั้นเมื่อเกิดเหตุแบบนี้ข้อเสนอคือ ครอบครัวควรให้กำลังใจ ไม่กล่าวโทษว่าเป็นความผิดของผู้ถูกกระทำ และควรสร้างความคิดที่ช่วยเสริมความมั่นใจให้แก่ผู้ถูกกระทำแทนภาพเชิงลบ ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น เพื่อลดความหวาดกลัว สิ้นหวัง แต่กล้าเผชิญกับสิ่งที่เกิดขึ้น และถึงเวลาที่เราควรมีหลักสูตรการเรียนรู้ทั้งในระดับโรงเรียน ให้เคารพในเนื้อตัวร่างกายของผู้หญิง บุคคลในหน่วยงาน เช่น โรงพยาบาล มหาวิทยาลัย ควรมีความรู้ ความเข้าใจในประเด็นปัญหาความรุนแรงทางเพศที่ละเอียดอ่อน ไม่กระทำซ้ำผู้ถูกกระทำหรือจัดการปัญหาด้วยการมองว่าเป็นปัญหาของผู้หญิง นอกจากนี้ในระบบการเยียวยาผู้ถูกกระทำความรุนแรงทางเพศ ต้องดูแลแบบต่อเนื่อง เน้นการทำงานกับพลังภายในของผู้ถูกกระทำด้วย เพื่อทำให้เห็นคุณค่าภายใน เห็นศักยภาพความสามารถของตนเอง เพราะการข่มขืนไม่ได้เพียงแต่ทำร้ายร่างกายเท่านั้น แต่ทำลายคุณค่าภายในอีกด้วย
ขณะที่ น.ส.รุ่งอรุณ ลิ้มฬหะภัณ รักษาการผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงหลัก (สำนัก 1) สสส. อธิบายว่า จากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุว่า ในปี 2560 คนไทยดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ร้อยละ 28.4 ส่วนใหญ่เป็นเพศชายดื่มสูงกว่าเพศหญิงถึง 4 เท่า ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายที่สิ้นเปลืองของครัวเรือน โดย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุว่า ปี 2560 คนไทยมีค่าใช้จ่ายในการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูงถึง 142,230 ล้านบาท และการดื่มยังเป็นต้นเหตุสำคัญของอุบัติเหตุ และปัญหาสุขภาพ เริ่มตั้งแต่ทำให้เกิดโรคตับแข็ง มะเร็ง หลอดเลือดสมอง เป็นต้น การจัดเวทีครั้งนี้เป็นข้อมูลอีกหนึ่งเสียงที่ยืนยันชัดเจนว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นปัจจัยร่วมสำคัญถึงหนึ่งในสามของผู้ก่อเหตุ ซึ่งถือเป็นภัยสังคมที่น่ากลัวไม่น้อยไปกว่าผลกระทบทางสุขภาพและอุบัติเหตุ ดังนั้นการลดความเสี่ยงสามารถทำได้ หากเริ่มตระหนักถึงปัญหา และค่อยๆ ลด ละ เลิกพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลง ตลอดจนการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเข้มงวด รวมทั้งการเฝ้าระวังในระดับชุมชน ก็จะช่วยลดความเสี่ยงลงได้เช่นกัน
เช่นเดียวกับ รศ.อภิญญา เวชยชัย นายกสภาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ เสริมข้อมูลเกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศที่เกิดขึ้นในสังคมไทยในทุกวันนี้ ว่า จากสถิติ พบผู้เสียหายเข้าสู่กระบวนการของตำรวจมีแนวโน้มสูงขึ้น และจากการเฝ้าระวังพบว่า เหตุการณ์ความรุนแรงส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต สภาวะทางจิตใจ ซึ่งการรับรู้จะค่อยๆ เปลี่ยนไป ส่งผลต่อการใช้ชีวิตในอนาคต หลายรายต้องสูญเสียความเชื่อมั่นในตัวเอง รู้สึกผิด โทษตัวเอง ทำร้ายตัวเองตลอดเวลา มีทัศนคติที่ไม่ดีในการสร้างครอบครัวและการมีเพศสัมพันธ์ในอนาคต สิ่งที่ยังเป็นปัญหาคือ ผู้เสียหายส่วนใหญ่ไม่กล้าเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม สาเหตุหลักก็เพราะ “อาย” ไม่กล้าเปิดเผย เก็บความทุกข์ไว้เพียงลำพัง จนทำให้ผู้กระทำเกิดความ “ย่ามใจ” แล้วก่อเหตุกระทำซ้ำ !
“ต้องทำให้ผู้กระทำได้รับการลงโทษที่เด็ดขาด เกิดการเปลี่ยนรากฐานทัศนคติ หยุดการใช้อำนาจ และไม่มองผู้หญิงเป็นวัตถุสิ่งของ ส่วนผู้เสียหายต้องได้รับทางเลือกที่เหมาะสม มีระบบดูแลผู้ถูกกระทำที่ชัดเจน คือ ให้บริการที่เป็นมิตรในรายบุคคล ได้รับคำปรึกษาที่เหมาะสม เพื่อให้ลดความหวาดกลัว ฟื้นฟูอารมณ์จิตใจนำพลังที่สูญเสียไปกลับคืนมา มีทีมสหวิชาชีพ นักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา ที่เพียงพอ นอกจากนี้ต้องมีบริการที่เป็นองค์รวม เช่น ปัจจัยสี่ อาชีพ ที่พักพิงชั่วคราวพื้นที่ปลอดภัย” รศ.อภิญญา เสนอแนะ
การข่มขืนเป็นความรุนแรงทางเพศที่คุกคามความเป็นมนุษย์ผู้ถูกกระทำอย่างที่สุด ซึ่ง นางทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนบ้านกาญจนาภิเษก บอกว่า แม้เรื่องการข่มขืนคุกคามทางเพศที่เกิดขึ้นเป็นการคุกคามความเป็นมนุษย์ แต่สังคมไทยกลับไม่จริงจังกับเรื่องการเรียกร้องความรับผิดชอบทางเพศในมิตินี้จากผู้ชาย และมีแนวโน้มที่จะปล่อยให้ผู้ชายลอยนวล ! ขณะเดียวกันกลับเข้มงวด กดดัน ตีเส้น ตีกรอบ และเรียกร้องการดูแลตัวเองจากผู้หญิง ซึ่งเป็นวิธีคิดที่หลงทางมาตั้งแต่ “ดึกดำบรรพ์”
นางทิชา บอกด้วยว่า ที่ผ่านมาบ้านกาญจนาภิเษก ได้ทำกระบวนการกลุ่ม มีกิจกรรมที่เป็นรูปธรรม ที่เราเรียกว่า “วิชาชีวิต” เพื่อเปลี่ยนระบบความคิดที่มีผลต่อพฤติกรรมเกี่ยวกับความรับผิดชอบทางเพศอย่างต่อเนื่อง สามารถจับต้องได้ เช่น กิจกรรมการเลี้ยงไข่ต้ม 8 วัน โดยให้เยาวชนต้องหิ้วไข่ต้มติดตัวตลอดเวลา จนครบกำหนด จากนั้นจะมีการแลกเปลี่ยนความคิดกัน แต่ละคนประสบปัญหาอะไรบ้าง เพื่อให้เขาได้เข้าใจว่า 10 กว่าปีที่พ่อแม่ต้องลำบากในการเลี้ยงดูพวกเขา เมื่อเทียบกับการที่พวกเขาต้องอึดอัด อดทนกับไข่ต้มเพียงแค่ 8 วันที่ต้องทนหิ้วทนถือ จากนั้นให้มีการวิเคราะห์ข่าวเด็ก เด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง ข่าวพ่อวัยรุ่นฆ่าลูก ข่าวนักเรียนหญิงท้องเพราะเพื่อนชายข่มขืน เมื่อความคิดมุมมองในเรื่องตั้งท้อง ทิ้งลูก เลี้ยงลูก ก่อรูปอย่างมีจุดเกาะเกี่ยวชัดเจน วัยรุ่นทุกคนของบ้านกาญจนาภิเษกจะต้องไปเลี้ยงน้องที่บ้านเด็กกำพร้าบ้านปากเกร็ด 1 วัน จากนั้นให้ถอดบทเรียนกันที่บ้านเด็กกำพร้าท่ามกลางเสียงของน้องๆ หรือแม้แต่การจัดกิจกรรมดูภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้อง แล้วค่อยมาค้นหาจุดมืด จุดบอด จุดสว่าง ของคนในภาพยนตร์
“กิจกรรมการเรียนรู้แบบนี้ เมื่อผลิตซ้ำบนความหลากหลาย จะทำให้รูปแบบการคิดเปลี่ยนไป โดยไม่ต้องท่องจำ ความรับผิดชอบทางเพศคือความรับผิดชอบที่ต้องเรียกร้องจากบุคคลที่เกี่ยวข้องกัน การเรียกร้องความรับผิดชอบจากผู้หญิง แต่ปล่อยให้ผู้ชายลอยนวล คือทางแก้ที่ไร้ความสำนึก ขาดความรับผิดชอบของคนในสังคม ซึ่งต้องทบทวนและรื้อทิ้งความคิดดังกล่าวตั้งแต่วันนี้ ทุกวันนี้แค่วิชาการเป็นเลิศมันเอาไม่อยู่แล้ว” นางทิชา กล่าวย้ำ
อาจต้องแก้ไขกระบวนการยุติธรรมตั้งแต้ต้นทาง ทำอย่างไรที่ตำรวจจะไม่ไกล่เกลี่ยให้ยอมความ บางครั้งกระบวนการยุติธรรมอาจกดทับให้ผู้หญิงต้องหมดหวัง ผู้กระทำลอยนวล วันนี้ยังมีผู้หญิงอีกมากที่ฝันร้าย ไม่ได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพราะ “อับอาย” ที่คนใกล้ชิดเป็นผู้กระทำเสียเอง..!!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง