หมีขอ เซ่นใคร? : คอลัมน์... กระดานความคิด โดย... บางนาห้าสิบหก
แฟนประจำเขาดินวนา (ที่ตอนนี้กลายเป็นอดีตไปแล้ว) หลายๆ คนคงจะรู้จักคุ้นเคยกับ “หมีขอ” เป็นอย่างดี ทั้งตอนที่มันถูกขังอยู่ในขอบเขตกรงรั้วไฟฟ้า หรือยามอารมณ์ดีซุกซน ใช้หางยาวโหนกิ่งต้นไม้ห้อยตัวเล่นซนอวดผู้คนที่เข้ามาเที่ยว เด็กๆ เห็นเข้าชี้มือร้องเจี๊ยวจ๊าวเอ็ดอึงทั้งกล้าๆ และกลัวๆ สุดท้ายก็ชื่นชอบ และหลงเสน่ห์ในความน่ารักและ (มองดูเหมือน) ใจดีของมัน
มาถึงวันนี้ วันที่มีข่าวใหญ่ว่า ข้าราชการจากด่านมะขามเตี้ย กาญจนบุรี กับพวก ยกโขยงกันเข้าป่า แล้วกลับออกมาพร้อมด้วยตีนหมีขอรมควัน 4 ตีน (มาพบกรามและชิ้นส่วนอื่นๆ อีกในภายหลัง)
เป็นที่น่าสลดหดหู่ใจยิ่ง ไม่เฉพาะกับคนที่พอจะรู้จักอุปนิสัยใจคอของหมีขอดีเท่านั้น หากคนทั่วไปก็ไม่อาจจะทานทนรับได้กับพฤติกรรมผิดมนุษย์มนา ที่เห็นชีวิตสัตว์ป่าเหมือนผักปลาให้ล่าเล่น (หรือจะเอาไปกินก็ตาม)
จะว่าไป การล่าของคนกลุ่มนี้ก็ชัดเจนอยู่ในตัวอยู่แล้วว่า ไม่ได้เป็นไปเพื่อการยังชีพ เช่นเดียวกับกรณีเจ้าสัวกับเสือดำทุ่งใหญ่นเรศวร เพราะนักล่าไม่ได้อดอยากแร้นแค้นหิวโหยจำเป็นต้องยังชีพด้วยชีวิตสัตว์ป่า เหมือนเช่นที่ในอดีตมีพรานป่าล่าสัตว์เป็นอาหารอยู่บ้าง ซึ่งนั่นก็ยังไม่หนักหนาสาหัสเท่ากับการล่าเพื่อความมัน สนุก สะใจ หรือเรียกรวมๆ ว่า บ้า นั่นเอง
พอเกิดเรื่องหมีขอขึ้นมาอีกคดี ทั้งๆ ที่แคมเปญ “เสือดำต้องไม่ตายฟรี” ยังติดหราอยู่บนคัตเอาต์ขนาดใหญ่ยักษ์กลางเมือง สังคมของเราก็พากันหันกลับมาถกทุ่มเถียงถึงอีกครั้งหนึ่งว่าจุดอ่อนมันอยู่ตรงไหน
เกิดจาก “คน” หรือ “ระบบ”
สำหรับคน แบ่งเป็นสองกลุ่มคือ กลุ่มหนึ่งมีหน้าที่ตามกฎหมายป้องกันไม่ให้คนอีกกลุ่ม สวมวิญญาณของนักล่าบุกรุกเข้าไปในพื้นที่หวงห้ามได้
ถามว่า เจ้าหน้าที่หละหลวม รู้เห็นเป็นใจ หรือเปล่า ซึ่งก็ไม่น่าจะใช่ เพราะถึงอย่างไร ถ้าออกนอกรีตแบบนั้น สาวไปสาวมาสุดท้ายก็ขว้างงูไม่พ้นคออยู่ดี
แต่ที่ว่า จำนวนเจ้าหน้าที่ และเครื่องมือเครื่องใช้ไม่เพียงพอกับภารกิจ นี่เป็นเรื่องที่รู้กันดีว่า เป็นปัญหาที่รอการแก้ไข ซึ่งในสถานการณ์นี้ต้องต่อท้ายว่า โดยด่วนที่สุด
เพราะตามสภาพพื้นที่ อย่างโพสต์ของ ศศิน เฉลิมลาภ ประธานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร บันทึกเรื่องอาหารป่าและค่านิยมการล่า-กินเนื้อสัตว์ป่า ว่าเอาไว้ประมาณนี้
"ปัจจุบัน ป่ากาญจนบุรีที่เหลือสัตว์ป่าก็อยู่ในอุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เกือบทั้งสิ้น ในป่าสงวนด้านนอกไม่น่าจะมีสัตว์ป่า นอกจากเก้งหลงๆ มา หรือกระรอก กระแต ป่าสงวนนี่เข้าง่าย ไม่มีเจ้าหน้าที่ แต่ก็แทบจะหมดแล้วทั้งป่า และสัตว์ป่า
ถ้าจะเที่ยวป่า ล่าสัตว์ ก็ต้องแอบเข้าเส้นทางที่ไม่มีด่านเจ้าหน้าที่ของหน่วยพิทักษ์ป่า ในป่าอุทยาน และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า
นอกจากแอบ ก็อาจจจะเข้าทางชุมชนที่อยู่ในป่า วัด โรงเรียน หาข้ออ้างไปเยี่ยมเพื่อน ไปแจกของ ไปทำบุญ ฯลฯ แล้วเอาปืนซุกไป
เส้นทางเข้าป่าที่คณะปลัดเข้าไปเป็นเหมืองแร่เก่าปัจจุบันเลิกแล้ว ไม่มีชุมชน มีสำนักสงฆ์อยู่ลึกๆ แห่งเดียว คณะนี้คงใช้เป็นข้ออ้างเข้าไปเที่ยวป่า โดยการทำบุญ
มีเส้นทางแบบนี้อีกหลายเส้น แต่ก็ไม่มากนัก เจ้าหน้าที่คงพอดูได้ ดูอย่างคณะนี้ก็โดนจับ (หวังว่าจะมีที่ไม่โดนจับไม่มากนัก)"
ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องของคน ที่มีพฤติกรรมอันมาจากความเชื่อ หรือความชอบ หรือความบ้า อย่างไรก็แล้วแต่ที่พร้อมจะละเมิดกฎหมายด้วยวิธีต่างๆ นานา แล้วแต่โอกาสจะอำนวย แม้แต่แฝงตัวเป็นนักบุญจัดคาราวานออฟโรดไปแจกของคนชายขอบ หรือทำบุญสำนักสงฆ์ ก็ยังทำ แต่หลังฉากคือ ไปหาวัตถุดิบสำหรับเมนูฟาดอาหารป่ากินแกล้ม
อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นที่วิตกกังวลกันมากก็คือ ตัวบทกฎหมาย และความรุนแรงของโทษที่จะทำให้คนทำผิดเข็ดหลาบ หรือไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างให้มีใครทำตามอีก
อย่างแรก คือ การทำงานของตำรวจและเจ้าหน้าที่รักษาป่า ที่จะต้องหาพยานหลักฐานให้แน่นหนาที่สุดเพื่อยืนยันกับศาลจนหมดข้อสงสัย และสามารถลงโทษคนผิดได้
ถ้าหากว่า กฎหมายที่มีอยู่ทุกวันนี้ยังไม่รัดกุมเพียงพอ (อย่างเช่น เอาผิดได้แค่ข้อหาเข้าไปในพื้นที่โดยไม่ได้รับอนุญาต หรือพกปืน ยิงปืน ซึ่งเป็นความผิดปลายนวมทั้งสิ้น) ก็ต้องปรับปรุงแก้ไข โดยด่วนอีกเช่นกัน
ถามว่า บทลงโทษทุกวันนี้รุนแรงเพียงพอหรือไม่
ประเด็นนี้คงต้องถกเถียงกันอีกพอสมควร เพราะบางทีคนที่จะทำผิดก็ไม่ได้คำนึงถึงความหนักเบาของโทษอยู่แล้ว ยิ่งถ้าเห็นช่องในเรื่องอื่น เช่น คน และระบบ ก็ยิ่งได้ใจ พร้อมที่จะเสี่ยง
ชั้นนี้จึงขอเพียงว่า ให้เอาคนผิดมาลงโทษให้ตรงกับความผิดให้ได้เสียก่อนจะดีกว่า
คือ ผิดข้อหาล่าสัตว์ ก็ควรต้องโดนลงโทษในข้อหานั้น ตามตัวบทกฎหมาย อย่าให้ดิ้นหลุด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง