คอลัมนิสต์

"ทักษิณ"ผจญกรรม...วรยุทธ์"ดูด"สะท้อนกลับ?

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"ทักษิณ"ผจญกรรม...วรยุทธ์"ดูด"สะท้อนกลับ? : คอลัมน์...  ขยายปมร้อน  โดย...   เร้นกาย ไร้เงา


 

          ควันหลงหลังจากพลพรรคเพื่อไทยข้ามทะเลเเละเเผ่นฟ้าไปเกาะฮ่องกงเพื่อเจรจากับ "นายใหญ่เเละน้องปู” นัยว่าหาทางออกให้ลงตัวเกี่ยวกับการสมัครส.ส.นั้น

 

          “ใครชนะก็คนของเรา” น่าจะเป็นบทสรุปที่ "ทักษิณ ชินวัตร” ให้ไว้ปลุกใจกับผู้ที่เดินทางไปพบในคราวนี้ เพราะเกมที่ต้องกระจายกำลังพลออกไปเพื่อเคลียร์รันเวย์ทั้งมุมตรง (คู่เเข่งซึ่งหน้า) เเละมุมอ้อม (คนกันเองที่ไม่กินเส้นกัน) น่าจะเหมาะสุดสำหรับพรรครักนายใหญ่กับบิ๊กเเมทช์ที่ต้องเจอคู่เเข่ง

 

 

          “พรรคเพื่อไทย, พรรคเพื่อธรรม, พรรคเพื่อชาติ” คือสามพรรคที่พลพรรคคนรักเเม้วจะต้องกระจายตัวไปสังกัด นัยว่าป้องกันอุบัติเหตุทางการเมืองเเละเกลี่ยการเเย่งกันลงสมัครส.ส. (บล็อกไม่ให้อดีตส.ส., คนเสื้อเเดงรวมทั้งคนสนับสนุนย้ายไปร่วมกับพรรคอื่น)


          ฉะนั้นเเปลความได้ว่าเกมนี้น่าจะลงตัวสุดสำหรับ “คนรักเเม้ว” ที่ต้องกระจายตัวออกไปในยามที่ ”กระเเสดูด” ย้อนกลับมาวอเเวจิตใจของ “ทักษิณ”


          เเม้ที่ผ่านมา "ทักษิณ” จะครวญเพลงเย้ยอดีต ส.ส.ทิ้งพรรคว่า “ไปดีเถอะนะพี่ขออวยพร ...” ไปเเล้วนั้น เเต่ยามนี้วิชาเดียวกันที่บางฝ่ายงัดมาใช้สร้างความเเข็งเเกร่งในวันนี้อาจทำให้นายใหญ่วิตกเพราะมันอาจเป็น "วรยุทธ์” ตำราเดียวกับที่ทักษิณเคยใช้ "ดูด” หรือไม่นั้น น่าพินิจ....

 

          ย้อนไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน...กว่าที่ “ไทยรักไทย” จะเเจ้งเกิดได้บนสนามการเมืองในยุคริเริ่ม “ทักษิณ” รวบรวมคนรุ่นใหม่มาตั้งพรรค (เเละบางส่วนจากพรรคพลังธรรมมาเป็นเเกน) เเต่ว่าความเเข็งเเกร่งในยามนั้นของไทยรักไทยไม่พอเพียงกับสิ่งที่ ”นายใหญ่” ต้องการ

 

          ฉะนั้น “การดูด” อดีตส.ส. ซึ่งบางขั้วในไทยรักไทยเเสดงอาการไม่อยากให้มาร่วมวงในตอนเเรก เเต่ต้องยินยอม ”เพื่อให้นายใหญ่ถึงฝั่งฝัน”

 

          ฉะนั้นปรากฏการณ์ “ดูด” โดยพลังเเม้วนั้นจึงบังเกิดขึ้นเป็นระลอกๆ โดยกลุ่มการเมืองที่โดน ”พลังดูดของไทยรักไทย” มาจากเกือบทุกพรรค อาทิ พรรคความหวังใหม่ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย พรรคกิจสังคม พรรคเอกภาพ 

 

          หากจะให้เเยกย่อยจนบังเกิดภาพนั้น ก็พอจะดึงภาพเก่าๆ รางๆ ได้ดังนี้


          “กลุ่มวังน้ำเย็น” ของเสนาะ เทียนทอง ที่สังกัดพรรคความหวังใหม่ในตอนนั้นคืออดีตส.ส.กลุ่มใหญ่สุดเเละทำให้ไทยรักไทยเติบโตโดยพลัน, สองมุ้งจากพรรคกิจสังคม, กลุ่มยงยุทธ ติยะไพรัช จากพรรคประชาธิปัตย์ (เจ้าของวรรคทอง "ตกเขียวการเมือง”), กลุ่มของปองพล อดิเรกสาร เเละบุญชู ตรีทอง จากพรรคชาติไทย, กลุ่มของอดิศัย โพธารามิก กับพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์ พรรคชาติพัฒนา และตระกูลสะสมทรัพย์ จากพรรคเอกภาพ


          ถัดมา "การยุบพรรค” ก็บังเกิดขึ้นในวาระหลังจากตั้งรัฐบาลไทยรักไทยยุคเเรกเเละช่วงรอยต่อก่อนจะเลือกตั้งปี 2548 (ความหวังใหม่เกือบทั้งพรรค เสรีธรรม เเละชาติพัฒนา)


          “มิตรคู่กายทักษิณ” อย่าง “บรรหาร ศิลปอาชา “หัวหน้าพรรคชาติไทยในขณะนั้น ถึงกับออกปากว่า "เลือดไหลไม่หลุด” เพราะลูกทีมของเติ้งเสี่ยวหารทยอยย้ายพรรคไปหลายชีวิต เเละทำให้อดีตพรรคเเกนนำจัดตั้งรัฐบาลต้องยุบตัวเป็นเพียงพรรค(รอ)ร่วมรัฐบาลเท่านั้น

 

          ก่อนจะอยู่ครบวาระสี่ปี อีกวาระหนึ่งของพรรคนายใหญ่ที่เรียกเสียงฮือฮาคือการดูดส.ส.พรรคสะตอ อย่าง "ทวี สุระบาล” ส.ส.ตรัง ของประชาธิปัตย์ เเละส.ส.ในจังหวัดชายเเดนภาคใต้ มาซบไทยรักไทย (ต่อมาคนที่ย้ายพรรคส่วนใหญ่สอบตก) หรือดูดกลุ่มชลบุรีเเละกลุ่มบุรีรัมย์จากอกของมังกรเมืองสุพรรณ


          การย้ายพรรคตอนนั้นของคนการเมืองจากขั้วต่างๆ เเทบจะใช้คำคำเดียวว่า “อุดมการณ์เเละเจตนาของไทยรักไทย ประชาชนในพื้นที่เรียกร้องให้ย้ายไปร่วมงาน” (ทั้งๆ ที่บางคนเเละบางพรรคโดนบีบหน้าเขียวเเละต้องยินยอมในบั้นปลาย)


          เมื่อพลพรรคมีมากพอเพียงเเล้วที่จะเเตะฝัน "รัฐบาลพรรคเดียว”


          ทักษิณเเบ่งคนการเมืองเป็นสี่บัญชีคือบัญชีรัฐมนตรีเเละผู้ช่วยรัฐมนตรี, บัญชีส.ส.เขต, บัญชีส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ เเละบัญชีผู้ทำงานทางการเมืองเเล้วประกาศออกไป...


          เรียกว่า...นายใหญ่คุมเกมอยู่ทั้งระบบ (ข้าราชการ, พรรคไทยรักไทย, เเหล่งทุน, ผู้มีอิทธิพลเเละหัวคะเเนน รวมทั้งกระเเสจากสังคม) จนกระทั่งมั่นใจสุดขีด ทำให้ทักษิณปล่อย "วรรคทอง” ณ หอประชุมโรงเรียนบรรพตพิทยาคม อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ (31 ต.ค.2548) ว่า

 

          "..ต้องถือว่าจังหวัดนครสวรรค์ มอบความไว้วางใจให้รัฐบาล โดยเลือก ส.ส.รัฐบาลทั้งจังหวัด ซึ่งแน่นอนและตรงไปตรงมา ว่าจังหวัดนี้ต้องได้รับสิทธิในการได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ผมตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม จังหวัดไหนมอบความไว้วางใจเรา เราต้องดูแลเป็นพิเศษ แต่ต้องดูแลคนทั้งประเทศด้วย เนื่องจากเวลามีจำกัด ต้องเอาเวลาไปพัฒนาจังหวัด ที่ไว้วางใจเราเป็นพิเศษก่อน จังหวัดไหนไว้วางใจน้อยก็ไปทีหลัง”


          เมื่อนายใหญ่ลั่นวาจาเเบบนั้นจึงส่งผลให้ “6 กุมภาพันธ์ 2548” กลายเป็นวันที่ 377 ส.ส.อยู่ในมือ “ไทยรักไทย” จนสร้างปรากฏการณ์ ”รัฐบาลพรรคเดียว” เเละส่งผลให้ “ทักษิณ” ย่ามใจกระทำการหลายอย่างที่มิควรเเละกลายเป็น ”เเผลใหญ่” ที่ทำให้นายใหญ่ต้องไกลบ้านไปนับสิบปีเเล้ว


          คราวนี้เมื่อ "วรยุทธ์” จากตำราเดียวกันนี้ที่ทักษิณเคยทำ เมื่อบางฝ่ายนำมาประยุกต์ใช้บนสนามเลือกตั้ง....น่าคิดว่าทำไมคนของเพื่อไทยตั้งใจดาหน้าอัดฝ่ายตรงข้ามเเบบไม่ยั้งมือ...


          หรือว่าวรยุทธ์นี้ทักษิณนำมาใช้เเล้วถูกต้องเพียงฝ่ายเดียว คนอื่นนำไปใช้ผิดเสมอ


          สังคมลองพินิจดูกับปรากฏการณ์การเมืองไทยเมื่อวันวานเเละวันนี้ รวมทั้งสิ่งที่พลพรรคคนรักเเม้วกล่าวอ้างพาดพิงขั้วตรงข้ามนั้น “ถูกหรือผิด..ตรองดู”
 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ