คอลัมนิสต์

"ผู้จัดการรัฐบาล?"

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

 "ผู้จัดการรัฐบาล?" : คอลัมน์... ขยายปมร้อน  โดย...  เร้นกาย ไร้เงา

 

          มีคำถามแว่วมาจากคนการเมืองที่ยามนี้ยังหาคำตอบไม่ได้ว่า..หลังหย่อนบัตรเลือกตั้งแล้ว ใครหนอ...ใครกัน...จะมาทำหน้าที่ผู้จัดการรัฐบาล ?

          นิยามของ “ผู้จัดการรัฐบาล” นั้น สถาบันพระปกเกล้าให้ไว้ว่า “เป็นคำที่ใช้สำหรับเรียกบุคคลผู้มีบทบาทสำคัญในการประสานการเจรจาและต่อรองระหว่างพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคการเมืองอื่นๆ เพื่อระดมเสียงสนับสนุนจากพรรคเหล่านั้นในการจัดตั้งรัฐบาล ผู้ที่ทำหน้าที่ผู้จัดการรัฐบาลมักจะเป็นเลขาธิการพรรคการเมืองขนาดใหญ่ซึ่งมีเสียงในสภาเพียงพอที่จะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล”

          ในทางการเมืองไทยนั้น ตำแหน่งนี้ถือว่าสำคัญเพราะต้องทำงานทั้งบนดินและใต้ดิน และมีชั่วโมงบินในระดับ "พญาอินทรี” เพราะหลากเงื่อนไขของแต่ละฝ่ายที่ยื่นเข้ามานั้น ผู้ที่ทำหน้าที่นี้ต้อง สาลิกาลิ้นทองกล่อมทุกฝ่ายรวมทั้งไกล่เกลี่ยเพื่อความสมดุลและเพื่อให้การฟอร์มรัฐบาล การทำงานของรัฐสภาและการประสานฝ่ายต่างๆ ให้งานราบรื่น รวมทั้งต้องชิงไหวชิงพริบระดับเฉือนกันปลายจมูกในกลเกมการเมืองที่เต็มไปด้วยการต่อรอง

          ฉะนั้นตำแหน่งนี้ ย่อมต้องมีบารมีและคอนเนกชั่นในระดับพอตัว และเพื่อให้สมฉายา "มือประสานสิบทิศ”

          ต้องยอมรับว่าช่วงเวลาจากนี้ไป...ใครหนอจะเหมาะสมที่จะดึงทุกฝ่ายทางการเมืองให้รับฟังซึ่งกันและกัน เพราะการเมืองไทยยามนี้คล้ายสงบ แต่ความจริงแล้วคลื่นใต้น้ำยังกระเพื่อมพอควร และมีท่าทีจะแรงขึ้นไปตามลำดับ

          เอาแค่พรรคการเมืองที่มีการทาบทามอดีต ส.ส.และผู้สมัคร ส.ส.ในพื้นที่ต่างๆ เข้าร่วมงาน บางครั้งก็เสมือนชิงกล่องดวงใจกันในเงื่อนไขที่ไม่ว่าใครก็ยังงงว่า...เกิดขึ้นได้อย่างไร ?

          และบางคราว รอยหมางในอดีตก็หยิบขึ้นมาเพื่อให้ทบทวนว่า ใครที่เคยทำอะไรกันไว้ในกาลเก่า วันนี้ยังจะเชื่อใจกันอีกหรือ...? บางนาทีต้องยอมรับคนการเมืองยุคก่อนที่เฉือนคมกันและเล่นแรงแบบไม่น่าให้อภัย แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ยังจับมือกันได้

          “กลืนเลือดและลืมวันวานที่เจ็บปวด แม้ในใจยังจดจำ” คือนิยามของคนการเมืองบางคนที่วายชนม์ไปแล้วสอนสั่งลูกพรรคไว้

          ย้อนเวลาไปในช่วงที่ผ่านมา หากเหลียวชำเลืองมองหน้าตารัฐบาลและผู้จัดการรัฐบาล(ที่มาจากการเลือกตั้ง)แล้วจะเห็นว่า บางยุคถือว่าเหมาะสม บางยุคถึงขั้นร้องโอ้โห !

          พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ คือ นายบรรหาร ศิลปอาชา

          นายชวน หลีกภัย คือ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ (วีรกรรมครั้งที่สองคือ "ชาวนากับงูเห่า”)

          นายบรรหาร ศิลปอาชา คือ นายเสนาะ เทียนทอง

          พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ คือ นายเสนาะ เทียนทอง

          นายทักษิณ ชินวัตร คือ นายเสนาะ เทียนทอง

          นายสมัคร สุนทรเวช ยามนั้นคือ “แก๊งออฟโฟร์” ประกอบด้วย นายสมัคร, นายธีรพล นพรัมภา เลขาธิการนายกรัฐมนตรี, นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน และนายเนวิน ชิดชอบ

          นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ช่วงนั้นมีการพยายามสกัดผู้ยิ่งยงแห่งบุรีรัมย์ออกจากวงจร โดยสายตรงนายใหญ่แห่งดูไบสามารถทำได้สำเร็จ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และผู้ยิ่งยงแห่งเมืองบุรีรัมย์

          น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คือ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ 

          วีรกรรมในคราวนั้นของผู้ทำหน้าที่นี้ เรียกว่าย่อมมีคนรัก ย่อมมีคนชัง   ฉะนั้นการเมืองยามนี้(ที่น่าจะแรงกว่าหลายคราวที่ผ่านมา) ใครบางคนบนเวทีการเมืองยังนึกไม่ออกว่า ใครหนอ...จะมารับหน้าที่นี้ เพราะขั้วการเมืองยามนี้มันชัดแบบไม่ต้องถอดความว่า "อยู่ข้างใด ?”

          และเมื่อวันนั้นกำลังจะมาถึง น่าหนักใจแทนผู้รับงานนี้เพราะเสมือนเข็นครกขึ้นภูเขา เพราะมันเหนื่อยกว่าอดีตกาลที่ผ่านมาหลายเท่าตัว แต่บางคราวอย่าลืมว่า "สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ”

          และในวันนั้นจะบอกว่าบารมีของผู้ใดบนเวทีการเมือง (ทั้งในฐานะหน้าฉากและหลังฉาก) จะเหมาะที่มาทำหน้าที่ผู้ประสานสิบทิศ
ต้องรอยล...

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ