คอลัมนิสต์

เมื่อ"บิ๊กตู่"วางมือไม่ได้ครั้นจะไม่เอาก็กลัว"ทักษิณ"เข้าวิน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เมื่อ "บิ๊กตู่" วางมือไม่ได้ ครั้นจะไม่เอา ก็กลัว "ทักษิณ" เข้าวิน!!! : คอลัมน์...   ขยายปมร้อน  

 

          การเมืองนาทีนี้ สปอตไลท์ทุกดวงต่างจับไปที่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่เคยระบุว่าจะประกาศอนาคตทางการเมืองภายในเดือนกันยายนนี้ หลัง “พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.” ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา จนเป็นที่มาของ “มาตรา 44” คลายล็อกการเมือง ให้สามารถเดินงานธุรการได้

          เมื่อเป็นเช่นนั้น หลายพรรคหลายก๊วนการเมือง ต่างง่วนกับงานภายใน อย่างการช่วงชิงตำแหน่งหัวเรือใหญ่พรรค ความพยายามรีแบรนด์ภาพลักษณ์ตัวเองใหม่ รวมถึงการสร้างแรงดึงดูดให้บรรดานักเลือกตั้งสนใจมาอยู่ในอ้อมอก ระหว่างที่รอ “คสช.” ปลดล็อกการเมือง ให้ “หาเสียง” ได้

          ขณะที่การเดินสายลงพื้นที่ “ครม.สัญจร” จังหวัดเลย-เพชรบูรณ์ เที่ยวนี้ของ “บิ๊กตู่” นับเป็นครั้งแรกหลังมาตรการ “คลายล็อกพรรคการเมือง” ทุกจังหวะก้าวจึงถูกโฟกัสเป็นพิเศษ ทุกคำพูดที่ออกจากปาก “นายกฯ” ล้วนมีนัย และอาจบอกได้ถึงความเป็นไปทางการเมืองของตัวเอง

          การออกปากชวนคนตระกูล “เร่งสมบูรณ์สุข” ให้มาช่วยกันทำงานเพื่อประชาชน ในการพบปะพูดคุยกับข้าราชการและประชาชน ระหว่างลงพื้นที่ จ.เลย ทั้งยังยืนยันว่าไม่ได้เป็นศัตรูกับนักการเมืองหรือกับใครทั้งสิ้น เหมือนเป็นการทอดไมตรีให้หนึ่งในขุนพล อย่าง “ปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข” อดีตส.ส.เลย พรรคเพื่อไทย ที่ลงทุนเปลืองตัวเปิดหน้าออกสื่อ ในช่วงที่กระแสดูดส.ส.ถูกพูดถึงอย่างมาก 

          ความเคลื่อนไหวของ “พล.อ.ประยุทธ์” ในการลงพื้นที่ เจ้าตัวพูดเสมอว่าไม่ได้มา “หาเสียง” แต่ชาวบ้านชาวเมืองไม่ได้มองอย่างนั้น สไตล์การจ้อพาให้หลายคนเคลิ้มได้เหมือนกัน แต่คนที่รู้ทัน ถึงคำจะหวานหยดย้อยแค่ไหน “เขาก็มีคนในใจของเขาอยู่แล้ว”

          หากสังเกตคำพูด “นายกฯ” ที่ จ.เลย และเพชรบูรณ์ ดูจะเตรียมตัวมาสื่อสารกับประชาชนพอสมควร โดยเฉพาะประเด็น “หลักคิดประชาธิปไตย การเลือกตั้งที่ถูกต้อง ความขัดแย้ง กติกาใหม่ในรัฐธรรมนูญ” รวมถึงการงัด “ลูกอ้อน” สารพัดนึกมาใช้

          “การเลือกตั้งอย่าไปเลือกอะไรที่เรื่อยเปื่อย”

          “การเลือกตั้งครั้งหน้าทุกคนต้องรู้ก่อนว่านายกรัฐมนตรีจะมาจากตรงไหน จะมาจากพรรคที่ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุดเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลและตั้งนายกรัฐมนตรี เป็นหลักการที่ทุกคนต้องรู้ ผมไม่ได้พูดถึงตัวเอง แต่ทุกพรรคจะต้องเสนอคนที่จะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีก่อน”

          ใช่ว่าที่ผ่านมา “พล.อ.ประยุทธ์” จะไม่เคยหยิบเรื่องพวกนี้มานำเสนอ แทบจะทุกเวทีที่มีโอกาสพูด จะได้ยินมาตลอด แต่ช่วงเวลานี้ที่ “การเลือกตั้ง” เริ่มเห็นเค้า ทว่าท่าทีทางการเมืองของเขายังคงอึมครึม ว่าอนาคตในเวทีการเมืองจะเป็นอย่างไรต่อไป

          แม้ก่อนหน้านี้ “พล.อ.ประยุทธ์” จะบอกเองว่า จะประกาศท่าทีการเมืองที่ชัดเจนในเดือนนี้ แต่เมื่อถูกบรรดานักข่าวซักไซ้ “พล.อ.ประยุทธ์” ก็ตอบแบบพลิ้วเอาตัวรอดเห็นๆ

          “จะมาสนใจอะไรกับผม ผมเคยบอกว่าเมื่อหลัง พ.ร.ป.ออกมา แล้วนี่หลังหรือยัง หลังจากนี้ไปถึงปีหน้าปีนู้นมันก็หลังทั้งหมด ผมจะพูดเมื่อไหร่ก็เรื่องของผม วันนี้ยังไม่รู้ ผมตัดสินใจเอง แล้วเรื่องอะไรผมจะออกมาให้โดนด่าตั้งแต่วันนี้เล่า สื่อก็หาเรื่องผมทั้งวันนั่นแหละ วุ่นวายจริงๆ เลย”

          ไม่รู้ว่าตอนนี้ “พล.อ.ประยุทธ์” กำลังออกอาการลังเลอะไรหรือไม่ แม้ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าใครต่อใครต่างก็ปักใจเชื่อว่า “เขาเอาแน่ !!!”

          หรือเป็นเพราะขุนพลข้างกายใน “ทำเนียบรัฐบาล” บางคน ที่คอยเดินเกม วางหมาก พยายามปูทางการเมืองให้ต่อจากนี้ เริ่มจะหนักใจแล้วว่า รัฐบาลหน้าหลังเลือกตั้งคงหนีไม่พ้นการมีหลายพรรคร่วมมาเป็นรัฐบาล แน่นอนว่า ถ้า “พล.อ.ประยุทธ์” พร้อยลุยต่อ คงเจอความเขี้ยวของบรรดา เสือ สิงห์ กระทิง แรด ที่จะมีพวกเห็บหมัดอันหิวโหยติดสอยห้อยตามมา คอยหาประโยชน์ จนรัฐบาลเสื่อมความศรัทธา

          นอกจากนี้ ความวิตกหนึ่งของบิ๊กในทำเนียบคนนี้ที่กำลังกังวลใจ คืออำนาจเต็ม “ชี้ซ้ายหันขวาหัน” จะไม่มีเหมือนก่อน ไล่มาตั้งแต่หัวขบวนลงมา การที่ “นายกฯ” จะเอาความต้องการของตัวเองทั้งหมดนั้น “เลิกฝันไปได้เลย” บรรดาพรรคร่วมที่ได้โควตารัฐมนตรี กระทรวงนั้น กระทรวงนี้ ย่อมมีแนวทางของตัวเอง ยังไม่ต้องพูดถึงว่าพวกนี้จะสำคัญตัวเองมากขนาดไหน เพราะย่อมต้องกร่างไม่มากก็น้อยว่า ตัวเองเป็นเสาหนึ่งที่ค้ำ “รัฐบาล” แล้วถ้า “ผู้นำรัฐบาล” นั้นชื่อ “พล.อ.ประยุทธ์” จะทุลักทุเล งานจะสะดุดขนาดไหน จะเข็นโปรเจกต์อะไรทีมีแต่รากเลือด เรียกว่า คงปรี๊ดแตก 3 เวลาหลังอาหารแน่ แม้กองทัพจะหนุนเต็มที่แค่ไหนก็ตาม

          ในทางกลับกัน ถ้า “พล.อ.ประยุทธ์” ประกาศท่าทีการเมือง ว่า “ขอวางมือ ลงจากหลังเสือ” ใจหนึ่งก็คงกลัวโดนเช็กบิลย้อนหลัง ทั้งตัวเองและพี่เลิฟอีก 2 คน ที่มีข่าวลบในหลายโครงการ ถ้าพรวดพราดลงจากอำนาจทันทีใน 1-2 ปีนี้ คงเจอแต่เรื่องปวดหัว

          ที่สำคัญ “พล.อ.ประยุทธ์” อาจกำลังชั่งน้ำหนักอยู่ก็เป็นได้ว่า ถ้าตัวเองไม่ลงสนามการเมืองเต็มตัวต่อจากนี้ “พรรคเพื่อไทย” ที่มี “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี คอยส่งสัญญาณถึงเด็กในคาถาเป็นระยะว่า “ยังสู้” คงจะนอนมาแบบแบเบอร์

          เพราะนาทีนี้ ถ้าเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ คงมีแค่ “พล.อ.ประยุทธ์” กับ “ทักษิณ” เท่านั้น ที่มีองคาพยพพอจะขับเคี่ยวกันแบบสมน้ำสมเนื้อ
 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ