คอลัมนิสต์

"นาฬิกา" กำลังจะเดินอีกครั้งหนึ่ง

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"นาฬิกา" กำลังจะเดินอีกครั้งหนึ่ง : คอลัมน์...  ขยายปมร้อน  โดย...  อรรถยุทธ บุตรศรีภูมิ

 

          คอการเมืองถึงกับสูดปากทีเดียวกับสถานการณ์ล่าสุด เพราะเป็นบรรยากาศที่ไม่ได้เห็นมานาน เรื่องของเรื่องเริ่มขึ้นเมื่อ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและนายกรัฐมนตรี เดินทางไปประชุมครม.สัญจร โดยระหว่างลงพื้นที่ จ.ระนอง ได้ทักทายเจ้าหน้าที่หญิงรายหนึ่งของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ที่มาต้อนรับ บังเอิญเธอนั้นชื่อว่า “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทันพิสิทธิ์” 

          โดยเมื่อเห็น “พล.อ.ประยุทธ์” ก็แซวทันทีว่า “ชื่อดี ชื่อเพราะดี เพราะชื่อนี้เป็นนายกฯ ด้วยไง”  และกล่าวด้วยว่า “ไอ้เราก็ตาไวซะด้วย แต่ไม่ได้ว่าอะไรใคร ทำให้ถูกก็แล้วกัน” เรียกเสียงเฺฮจากกองเชียร์ดังลั่น

          ค่ำวันเดียวกัน “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ทวิตข้อความสวนทันควันว่า “ทราบว่าท่านนายกไปพื้นที่ที่จังหวัดระนองพบคนชื่อยิ่งลักษณ์ และบอกว่าให้คนที่ชื่อยิ่งลักษณ์ทำให้ถูกก็แล้วกัน เลยขอถามท่านอดีต ผบ. ทบ. ว่ายังจำชื่อนี้ได้อยู่เหรอคะ”

          เรียกได้ว่าเป็นการตอบโต้อย่างเผ็ดร้อน เรียกเสียงจากกองเชียร์อีกฝั่งได้เช่นกัน  เพราะนี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ออกจากประเทศไทยที่เธอสื่อสารในเชิงการเมือง ก่อนหน้านี้แม้จะมีการปรากฏตัวพร้อมพี่ชาย “ทักษิณ ชินวัตร” บ้าง แต่เธอก็เลือกที่จะสงบปากสงบคำ หรือวันเกิดที่ผ่านมาที่เธอสื่อสารผ่านโลกออนไลน์ครั้งแรก ก็พูดเฉพาะเรื่องการอวยพรวันเกิดเท่านั้น

          แต่ครั้งนี้ “ยิ่งลักษณ์” เลือกสื่อนัยทางการเมืองแบบไม่ต้องตีความ และที่น่าสนใจคือ ตอนต้นประโยคเธอใช้คำว่า “ท่านนายกฯ”  แต่ตอนท้ายกลับเรียกว่า “อดีต ผบ.ทบ.” ซึ่งเป็นตำแหน่งของ “พล.อ.ประยุทธ์” ก่อนที่จะทำรัฐประหาร 

          สัญญาณทางการเมืองเช่นนี้เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ประจวบกับการให้สัมภาษณ์ของ “เฉลิม อยู่บำรุง”  ที่ออกมาพูดในเชิงการเมืองเป็นครั้งแรกๆเช่นกัน โดยพุ่งเป้าไปที่กลุ่มสามมิตร พร้อมยืนยันว่าการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นนั้น พรรคเพื่อไทยชนะขนาดแน่นอน พร้อมการันตีว่า “วัน อยู่บำรุง” ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนจะได้เป็นรัฐมนตรี พร้อมตั้งคำถามถึงกลุ่ม “สามมิตร” ในทำนองไม่มีศักยภาพแต่กลับคุยโตโอ้อวด  ได้แค่ผู้สมัครแต่อ้างว่าได้ผู้แทน

          ทั้งสองกรณีนี้ถือว่ามีนัยทางการเมืองยิ่ง ในกรณีของ “ยิ่งลักษณ์” จะเห็นได้ว่าเธอต้องมั่นใจในสถานะหนึ่งจึงออกมาเคลื่อนไหวได้ และโจมตีไปที่ “พล.อ.ประยุทธ์” ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เธอเลือกที่จะเงียบมาตลอดหนึ่งปี จนหลายคนตั้งคำถาม มีเพียง “ทักษิณ” เท่านั้นที่ออกมา “เอ็กเซอร์ไซส์” บ้างประปราย ที่เหลือปล่อยเป็นหน้าที่ของมือรองๆ ลงไป

          เมื่อ “ตัวแม่” อย่าง “ยิ่งลักษณ์” เลือกจะพูดเองก็ทำให้เห็นว่าจากนี้บรรยากาศทางการเมืองจะเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน

          ขณะที่ “เฉลิม” นั้นถือกันว่าเขาเป็นนักการเมืองมืออาชีพ  ที่สำคัญรู้จังหวะหลบหลีก จังหวะฟุตเวิร์กบุกเข้าถอยออก  จนหลายคนขนานนามว่า “นกรู้ อยู่เป็น”  

          “เฉลิม” รู้ว่าตอนไหนต้องสงบปากสงบคำ จังหวะไหนที่ควรอยู่เงียบๆ ไม่ควรเคลื่อนไหวทางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น และเขาก็รู้ว่าจังหวะไหนที่ควรขยับ

          นักการเมืองอย่าง “เฉลิม” ไม่ใช่นักการเมืองที่คนรักมากนัก แต่หากพูดถึงชั้นเชิงแล้วเขาไม่เคยเป็นรองใคร ดังนั้นการออกมาให้สัมภาษณ์ทางการเมืองยาวเฟื้อยในวันที่มาให้กำลังใจหลานชายสุดที่รัก “อาชวิน อยู่บำรุง” รับทราบข้อกล่าวหา จึงน่าเชื่อว่าเขารับทราบสัญญาณบางอย่างและตัดสินใจว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องขยับเช่นกัน

          แน่นอนว่าความเคลื่อนไหวของทั้งสอง สอดรับกับเวลาการเลือกตั้งที่กระชั้นเข้ามา  เพราะตามกรอบเวลาที่รัฐธรรมนูญกำหนดเชื่อว่ากฎหมายเลือกตั้งน่าที่จะลงในราชกิจจานุเบกษากลางเดือนกันยายน และมีผลบังคับใช้กลางเดือนธันวาคม

          ซึ่งหากนับเวลาตามที่ กกต.อ้าง อย่างเร็วที่สุดก็จะมีการเลือกตั้งวันที่ 24 กุมภาพันธ์ และช้าที่สุดวันที่ 5 พฤษภาคม ถ้านับกรอบเวลาที่เร็วที่สุดหมายความว่าจากนี้อีก 6 เดือนจะเข้าสู่การเลือกตั้ง  และหานับแบบช้าที่สุดก็จะอยู่ที่ 9 เดือน ซึ่งแล้วแต่ผู้มีอำนาจจะเห็นควรแบบไหน

          แต่ไม่ว่าจะแบบไหนก็ไม่ถือว่านานทั้งสิ้น เพราะจากนี้ไปการเมืองก็จะต้องแรงขึ้นเรื่อยๆ

          และที่สำคัญ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เลือกที่จะประกาศจุดยืนและอนาคตทางการเมืองในช่วงเดือนกันยายนนี้  ซึ่งหลายฝ่ายฟันธงแล้วว่า ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องเล่นการเมืองต่อ เพียงแต่เลือกจะเป็นนายกฯ แบบไหนเท่านั้นเอง  เพราะหากเขาเลือกที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวทางการเมืองต่อไปก็น่าที่จะประกาศได้ตั้งแต่วันนี้เสียด้วยซ้ำ

          ส่วนพรรคพลังประชารัฐก็รอวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการ พอๆ กับกลุ่มขั้วการเมืองที่เริ่มเดินสายหาเสียง หาคะแนนนิยม หรือกระทั่งจับกลุ่ม ทำสัญญาใจกันแบบหลวมๆ ว่าหลังการเลือกตั้งจะเป็นพันธมิตรกัน

          บรรยากาศแบบนี้กำลังจะหวนคืนกลับมา บรรยากาศแห่งการเลือกตั้ง บรรยากาศแห่งการเมือง  หลังจากที่ห่างหายไปตั้งแต่วันที่ 22 กันยายน 2557 พอๆ กับเสียงประชาชนที่เรียกร้องให้เลือกตั้งดังขึ้นเรื่อยๆ นาฬิกาการเมืองจะกลับมาเดินอีกครั้งหนึ่ง ถ้าไม่มีใครจงใจหยุดมันเสียก่อนโดยอ้างเงื่อนไขอันไม่พึงประสงค์ 
 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ