คอลัมนิสต์

เพื่อไทยต้องก้าวข้ามทักษิณ ชินวัตร ให้ได้

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เพื่อไทยต้องก้าวข้ามทักษิณ ชินวัตร ให้ได้ : คอลัมน์...  กวาดบ้านกวาดเมือง  โดย...  ลมใต้ปีก 

 

          ยิ่งปี่กลองทางการเมืองกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ไม่ว่าคำประกาศของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้าคสช. ที่ยืนยันว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2562 กับการเชิญพรรคการเมืองไปหารือของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในวันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน นั่นยิ่งชัดเจนว่าจะเป็นการ “เปิดเทอม” ทางการเมืองอีกครั้ง หลังการ “ปิดเทอม” โดยการยึดอำนาจมากว่า 4 ปี

          การปลดล็อกทางการเมืองเมื่อมีการประกาศใช้ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับ คือ กฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. ที่ วิษณุ เครืองาม แจ้งว่านายกรัฐมนตรีนำความขึ้นกราบบังคมทูลต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปแล้ว น่าจะเป็นการทยอยปลดล็อกว่า อันไหนทำได้ทำไม่ได้ เป็นลำดับไป (คาดว่าอาจจะยังไม่อนุญาตให้รณรงค์หาเสียง แต่อาจจะปล่อยให้มีการประชุมพรรคการเมืองได้บ้าง) จะเป็นช่วงจังหวะที่พรรคการเมืองเก่าและใหม่น่าจะมีการประชุมเพื่อคัดเลือกผู้นำในแต่ละพรรคในการขับเคลื่อนนโยบายทางการเมืองของตนก่อนจะนำไปสู่ “ยุทธศาสตร์การหาเสียง” 

          ซึ่งต้องยอมรับกันว่าในแวดวงการเมืองขณะนี้ คู่แข่งขันที่พอจะมีสิทธิ์ช่วงชิงการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลมีเพียง 3 พรรคการเมืองเท่านั้น คือ เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์-พลังประชารัฐ พรรคอื่นๆ ที่ตั้งขึ้นหรือยังคงดำเนินกิจกรรมอยู่ เป็นเพียงองค์ประกอบหรือ “ดอกไม้ในแจกัน”เท่านั่น

          แต่สำรวจทั้ง 3 พรรคเต็งจัดตั้งรัฐบาล ต้องบอกว่า ตัวผู้นำยังมีปัญหาหรือไม่มีผู้นำตัวจริง พรรคเพื่อไทยยังคงเป็นเพียงรักษาการหัวหน้าพรรค พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ พรรคประชาธิปัตย์ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะครบวาระการเป็นหัวหน้าพรรคในเดือนตุลาคม จะต้องมีการเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ ส่วนพรรคพลังประชารัฐ หัวหน้าพรรคตัวจริงยังไม่ปรากฏ 

          การจะมีหัวหน้าพรรคตัวจริงได้ จำเป็นจะต้องมีการประชุมสมาชิกเพื่อคัดเลือก แต่นั่นคือ “พิธีกรรมทางการเมืองเท่านั้น ส่วนคนที่จะมาเป็นนั้นน่าจะมีการตกลงไว้หมดแล้ว เช่นพรรคประชาธิปัตย์ ถึงแม้มีชื่อ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ และกรณ์ จาติกวณิช 2 รองหัวหน้าพรรค เข้าชิง แต่เชื่อขนมกินได้ว่า การเลือกตั้งที่จะมาถึง ชื่อผู้นำพรรคยังเป็น อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ส่วนพลังประชารัฐนั้น เต็งหามที่วางกันไว้คือ อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมคนปัจจุบัน เหลือก็แต่พรรคเพื่อไทยที่ชื่อแรงนำคนอื่นมาคือ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แต่ท้ายที่สุด “จิ้งจกในพรรค” บอกว่า แล้วแต่ คนชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ตัดสินใจ 

          อำนาจทางการเมืองของพรรคเพื่อไทย ยังคงผูกติดกับ ทักษิณ ชินวัตร ทั้งที่เป็นนักโทษหนีคดีและผู้ต้องหาหนีหมายจับอีกหลายใบ ที่ “โอกาส” กลับเมืองไทยแทบไม่มี เป็นเพราะ “พลังปัจจัย” หรือ ”ศรัทธา” ทางการเมือง เป็นสิ่งที่คนในพรรคเพื่อไทยคิดเองได้ 

          ในกระแส “พลังดูด” ที่คาดว่าอดีต ส.ส.เพื่อไทย ไม่น้อยกว่า 30 คน จะย้ายไปอยู่พลังประชารัฐ เจ้าของพรรคเพื่อไทยอย่างทักษิณ ชินวัตร จึงต้องออกมาส่งสัญญาณ “จะกลับมา” เปรียบอายุตัวเองกับ มหาธีร์ โมฮัมหมัด ว่ามีเวลาอีก 23 ปี ถึงจะอายุ 92 ซึ่งเป็นอายุที่มหาธีร์ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีรอบสอง คำประกาศนั้นหวังผลเพียงเพื่อจะ "หยุดเลือดไหล” ในพรรคเพื่อไทย 

          วันนี้ของพรรคเพื่อไทย หากจะดำเนินกิจกรรมทางการเมืองร่วมกันในนาม "พรรคเพื่อไทย” ต้องก้าวให้ข้ามคนชื่อ "ทักษิณ ชินวัตร" การจะมีหัวหน้าพรรคหรือผู้นำพรรคเป็นใคร การจะเสนอบัญชีรายชื่อใครเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องเลิก “รอความเห็นชอบ” หรือสั่งการของคนแดนไกล มิฉะนั้น คุณค่าของนักการเมืองเพื่อไทยจะเป็นแค่เครื่องมือทางการเมืองของ ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น หาใช่พรรคการเมืองไม่ และอาจจะพบกับวิบากกรรมทางกฎหมาย เหมือนกับไทยรักไทย พลังประชาชน ที่ถูกยุบทั้งสองพรรคจนกลายมาเป็น “เพื่อไทย” ในปัจจุบัน

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ