คอลัมนิสต์

ยกเลิก "โทษประหารชีวิต" ไทยพร้อมหรือยัง

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

คอลัมน์ - รู้ลึกกับจุฬาฯ

 

ข่าวการประหารชีวิตนักโทษชาย มิก ธีรศักดิ์ หลงจิ ซึ่งถือว่าเป็นการประหารชีวิตรายแรกในรอบ 9 ปี ได้สร้างกระแสและการเคลื่อนไหวในสังคมไทยอย่างกว้างขวาง จากโพลล์สำรวจความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าวของสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPERPOLL) มูลนิธิสถาบันวิจัยความสุขชุมชนและความเป็นผู้นำ พบว่าประชาชนคนไทยร้อยละ 93.4 ยังเห็นด้วยกับการมีโทษประหารชีวิต

 

ขณะเดียวกัน ก็มีฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย เช่น สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (OHCHR) และองค์การนิรโทษกรรมสากล (Amnesty International) ประจำประเทศไทย ออกแถลงการณ์ว่ารู้สึกเสียใจ และกังวลใจกับการถอยหลังของการปฏิรูปโทษประหารชีวิตในประเทศไทย โดย OHCHR ระบุว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการสวนทางกับกลไกสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ซึ่งประเทศไทยเคยให้สัญญาไว้เมื่อปี 2559 แต่หลังจากที่องค์กรด้านสิทธิดังกล่าวออกแถลงการณ์ ก็ถูกโจมตีจากคนไทยที่เห็นด้วยกับการลงโทษประหารชีวิตอย่างรุนแรง

ต่อประเด็นดังกล่าว อาจารย์ ดร.ณัชพล จิตติรัตน์ จากคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้แสดงทัศนะว่า อันที่จริงวัตถุประสงค์ของการลงโทษ (Justification of Punishment) มีอยู่หลายประการ ได้แก่ การแก้แค้นทดแทน (Retribution) การป้องปรามอาชญากรรม (Deterrence) การตัดโอกาสในการกระทำความผิด (Incapacitation) และการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิด (Restoration) ส่วนที่เป็นวัตถุประสงค์ในการแก้แค้นทดแทนนั้น รัฐต้องทำหน้าที่ลงโทษผู้กระทำผิดให้สาสม ให้สังคมได้รับรู้ว่าผู้กระทำผิดต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนแก้แค้นกันเอง

สำหรับตัวอย่างที่เกิดขึ้นในสังคมไทย อาจารย์ ดร.ณัชพลชี้ให้เห็นจากเหตุการณ์ที่เกิดคดีร้ายแรงหลายคดี ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวผู้กระทำผิดไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ประชาชนที่มาดูจะแสดงอารมณ์ร่วมกับผู้เสียหาย โดยหลายคนพยายามเข้าทำร้ายผู้กระทำความผิด

“ในมุมมองของผมเห็นว่าคนไทยเราส่วนใหญ่มักมีอารมณ์และความรู้สึกร่วมกัน และมีความรู้สึกชิงชังร่วมกันหากมีผู้ใดผู้หนึ่งมีพฤติกรรมณ์โหดเหี้ยม ทำร้ายคนในสังคม จึงไม่น่าแปลกที่มีคนเห็นด้วยกับการลงโทษประหารชีวิตเป็นส่วนใหญ่” อาจารย์ ดร.ณัชพลกล่าว

อาจารย์ ดร.ณัชพล ยังได้กล่าวถึงการเรียกร้องให้ยกเลิกโทษประหารชีวิตว่า แนวความคิดในการยกเลิกโทษประหารชีวิตมีมานานแล้ว หลังจากการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 แนวความคิดในเรื่องสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศได้เกิดขึ้น มีการพูดถึงสิทธิการมีชีวิตมากที่สุด โดยเฉพาะการลงโทษประหารชีวิตนั้นหลายประเทศเห็นว่าเป็นเรื่องโหดร้าย ไม่ควรมีอยู่ในสังคมที่เจริญแล้วและสังคมควรยอมรับสิทธิในการมีชีวิตของมนุษย์ ดังนั้นหลายประเทศจึงได้มีการยกเลิกโทษประหารชีวิต แต่ก็มีอีกหลายประเทศที่ยังคงมีโทษประหารชีวิต

 

สำหรับการลงโทษประหารชีวิตในประเทศไทย เป็นหนึ่งในโทษที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 18 ปัจจุบันใช้วิธีการฉีดสารพิษเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งต่างจากอดีตที่ผ่านมามีวิธีการหลากหลายรูปแบบ  

 

สำหรับแนวความคิดในการยกเลิกโทษประหารชีวิตในประเทศไทยเพิ่งจะถูกกำหนดไว้ในแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติสมัยรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่ก็ยังมิได้มีการยกเลิกโทษประหารจนถึงปัจจุบัน ด้วยเหตุผลและความจำเป็นบางประการที่รัฐยังคงต้องพิเคราะห์ถึงสังคมและการเกิดอาชญากรรม แต่ก็มีบางประเทศที่ได้มีการยกเลิกโทษประหารชีวิตไป อย่างประเทศฟิลิปปินส์ที่เป็นประเทศแรกในเอเชียที่ยกเลิกใน พ.ศ.2530 และประเทศกัมพูชาที่ยกเลิกไปใน พ.ศ.2532

แต่มีข้อน่าสังเกตบางประการ เช่น ประเทศฟิลิปปินส์ที่ได้มีการยกเลิกโทษประหารชีวิตไปแล้วแต่กลับนำโทษประหารชีวิตกลับมาใช้ใหม่เมื่อปีที่แล้วหลังจากมีการเปลี่ยนผู้นำและสถานการณ์ทางการเมืองเปลี่ยนไป หรือในมลรัฐวิสคอนซินของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ไม่เคยมีโทษประหารชีวิต แต่เมื่อปี ค.ศ. 2007 ประชาชนได้แสดงประชามติว่าอยากให้เอาโทษประหารชีวิตกลับมาใช้อีก เพราะช่วงนั้นมีประเด็นก่อการร้าย แต่เรื่องก็ตกไปเมื่อขึ้นสู่การพิจารณาในสภาคองเกรส

ต่อคำถามที่มีการถกเถียงกันว่าควรมีการยกเลิกโทษประหารชีวิตในประเทศไทยหรือไม่ อาจารย์ ดร.ณัชพล เห็นว่ายังเป็นเรื่องที่คนไทยต้องหาทางออกร่วมกัน ทั้งกลุ่มที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ก็ต้องพึงระมัดระวังในเรื่องอคติส่วนตัว และการเคารพความคิดเห็นของผู้อื่น

อาจารย์ ดร.ณัชพล มองว่าเรื่องนี้คงต้องอาศัยเวลา ต้องมีการทำวิจัยและการทำประชาพิจารณ์ภายใต้บริบทของสังคมไทย ต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายและต้นทุนในการลงโทษประหารชีวิตประกอบด้วย

ในประเทศสหรัฐอเมริกา มีการคำนวณค่าใช้จ่าย หรือต้นทุนของโทษประหารชีวิต ซึ่งปรากฏผลว่าผู้กระทำผิดที่ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิตมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการถูกประหารชีวิต เพราะกว่าจะประหารชีวิตต้องผ่านการอุทธรณ์ ซึ่งใช้เวลาและบุคลากรเข้ามาจัดการ ในบางกรณี กว่าจะได้ประหารชีวิตก็ผ่านไปถึง 20 ปี ถัวเฉลี่ยแล้วต้นทุนสูงกว่าโทษจำคุกตลอดชีวิต แต่ถ้าเป็นกระบวนการประหารชีวิตของประเทศไทยอาจจะสลับกัน

อาจารย์ ดร.ณัชพล ได้กล่าวทิ้งท้ายว่าโทษประหารชีวิตเป็นเพียงปลายทางของการลงโทษตามความผิดที่ได้กระทำ แต่สาเหตุและปัจจัยที่ทำให้คนกระทำผิดเป็นเรื่องสำคัญที่รัฐจะต้องหาทางป้องกันแก้ไข หากไม่มีการกระทำความผิดร้ายแรง ก็คงไม่ต้องมีโทษประหารชีวิต

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ