วาระร้อน !! วงถก "คสช.-พรรคการเมือง"

 

                “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ลัดฟ้าไปภารกิจที่ยุโรปแล้ว ภารกิจสำคัญที่เมืองไทยระหว่าง “หัวหน้าคสช.” ไม่อยู่ คือการเชิญพรรคการเมืองมาพูดคุยเพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเลือกตั้ง ที่ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” อาสานั่งหัวโต๊ะเจรจานี้

                ที่มาของวงเจรจานี้ สืบเนื่องมาจากคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 53/2560 ที่ออกมาแก้ไขกฎหมายพรรคการเมืองเกี่ยวกับเรื่องการดำเนินการต่างๆ ของพรรค สาระสำคัญที่ประจักษ์แล้ว คือ เงื่อนไขตามคำสั่งนี้เป็นการ “รีเซตสมาชิกพรรค” ทำให้สมาชิกพรรคการเมืองเก่าหายวับไปกับตา 80-90 เปอร์เซ็นต์ และล็อกพรรคการเมืองให้ไม่สามารถประชุมและทำกิจกรรมใดๆ ได้

(อ่านต่อ...ถอดรหัส !! ม.44 ซ่อนเงื่อน "รีเซตสมาชิกพรรค-โรดแม็พ" ??)

 

(อ่านต่อ...พรรคไหนกระอักสุด ?? สมาชิกหายสูงสุด 99 เปอร์เซ็นต์ !!)

 

                และกำหนดไว้ว่าหลังจากกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.ประกาศลงราชกิจจานุเบกษา ให้ครม.เสนอ คสช.ยกเลิกหรือแก้ไขประกาศหรือคำสั่งของคสช.ที่ “ล็อกพรรคการเมือง” และให้ทำแผนและขั้นตอนการดำเนินการทางการเมืองเพื่อไปสู่การเลือกตั้งแก่ กกต. คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ และประธาน สนช. โดยอาจเชิญพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองมาหารือด้วยได้

                จุดที่ว่าให้เชิญพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองนี่แหละคือที่มาของวงหารือนี้

                แต่ถ้ายึดตามคำสั่งนั้น ความจริงตอนนี้ก็ยังไม่ถึงเวลาของวงหารือ เพราะรัฐบาลเพิ่งทูลเกล้าฯ ร่างกฎหมายเลือกตั้งส.ส.ไป แต่อาจจะเป็นเพราะทางคสช.เคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเชิญพรรคการเมืองมาหารือในเดือนมิถุนายน เพราะคาดว่าจะมีการประกาศกฎหมายเลือกตั้งราชกิจจานุเบกษา จึงจะเปิดเวทีนี้

                บวกกับด้วยความที่คสช.ยังไม่ปลดล็อกพรรคการเมือง และคำสั่งของคสช.ก็ทำให้เกิดสภาพพันกันไปพันกันมาจนพรรคการเมืองไม่สามารถขยับอะไรได้ กระแสเสียงเรียกร้องให้มีการปลดล็อกนี้จึงเป็นอีกเหตุให้คสช.ต้องเชิญพรรคการเมืองมาหารือ

                ตอนนี้มีหลายพรรคการเมืองแสดงท่าทีตอบรับแล้วไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา รวมไปถึงพรรคภูมิใจไทย แต่พรรคเพื่อไทยแสดงจุดยืนชัดเจนว่าไม่เห็นความจำเป็นที่คสช.ต้องเรียกพรรคการเมืองไปหารือ และยืนยันว่าพรรคจะไม่เข้าร่วม

                “เราไม่ต้องการไปเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมที่คสช.จัดขึ้น เราไม่เห็นว่ามีความจำเป็นต้องไปพูดคุยกัน เพราะอำนาจทุกอย่างอยู่ที่คสช. และก็มีความชัดเจนว่าพรรคการเมืองต้องการให้ปลดล็อก คุณก็บอกมาเลยว่าจะปลดล็อกเมื่อไหร่ หรือจะให้มีการเลือกตั้งเมื่อไหร่ เราต้องการความชัดเจน ไม่ต้องการไปเจรจาต่อรองใดๆ ทั้งสิ้น” ภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทยกล่าว

                ทั้งนี้ “วิษณุ เครืองาม” รองนายกฯ มือกฎหมายของคสช. บอกว่า จะมีการพูดคุยกับพรรคการเมือง 2 รอบ รอบแรกคือปลายเดือนมิถุนายนนี้ และอีกรอบคือเมื่อกฎหมายเลือกตั้งส.ส.ประกาศลงราชกิจจานุเบกษาแล้ว

 

(อ่านต่อ..."วิษณุ"ลั่นปล่อยฟรีช่วงหาเสียง - ย้ำ "บิ๊กตู่" ขอคุย2รอบ)

 

                ตอนนี้ยังไม่ชัดเจนว่าเวทีครั้งแรกนี้จะเกิดขึ้นวันใด โดยล่าสุด พล.อ.ประวิตร บอกว่า “เพิ่งเชิญกลุ่มการเมืองไป ใครอยากมาก็มา ใครไม่อยากมาก็ไม่ต้องมา แต่เท่าที่ทราบส่วนใหญ่เขามากัน” โดยนอกจากพล.อ.ประวิตร แล้ว จะมี "วิษณุ" และ ทาง กกต.มาร่วมหารือด้วย (ล่าสุด ได้ข้อสรุปว่าจะนัดหารือในวันที่ 25 มิถุนายน นี้ ที่สโมสรกองทัพบก...คลิกอ่านต่อ)

                ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประวิตร บอกว่าในการหารือจะไม่ให้มีการไลฟ์สด ไม่ให้มีเครื่องมือสื่อสาร และเวทีดังกล่าวจะเปิดให้เฉพาะพรรคการเมือง ไม่เปิดให้สื่อร่วมรับฟัง หลังจากก่อนหน้านี้ "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ บอกว่า หากไม่ให้ไลฟ์สดจะไม่มาร่วมประชุม

                สำหรับประเด็นที่คาดว่าจะมีการหยิบยกมาหารือในวงพูดคุย ดูจากที่ผ่านมาก็จะเห็นชัดเจนว่าจะมีเรื่องอะไรบ้าง

 

                1.การปลดล็อกพรรคการเมือง

                เพื่อให้พรรคการเมืองสามารถประชุมพรรคได้ สามารถหาสมาชิกได้ สามารถตั้งสาขาพรรคได้ ซึ่งจะเกี่ยวพันไปถึงเรื่องการทำไพรมารีโหวต ที่กำหนดให้มีเป็นครั้งแรกในการเลือกตั้งของไทย

                การจะปลดล็อกให้พรรคการเมืองดำเนินการดังกล่าวได้จะเกี่ยวพันอยู่ในคำสั่งคสช. 3 ฉบับ คือ

• คำสั่งคสช. 2 ฉบับ คือประกาศ คสช.ฉบับที่ 57/2557 เรื่องห้ามพรรคการเมืองประชุม หรือทำกิจกรรมทางการเมือง
• คำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 ห้ามชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
• คำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 53/2560 ห้ามพรรคการเมืองเก่าประชุมจนกว่าจะเลิกคำสั่ง 57/2557 และ 3/2558

                ถ้าถามว่าคสช.จะปลดล็อกให้พรรคการเมืองไหม หรือจะปลดให้แค่ไหนมี 2 จุดให้พิจารณา

                จุดแรกคือ เหตุผลในคำสั่ง 53/2560 ที่ล็อกพรรคการเมืองไว้ ครั้งนั้น คือเมื่อเดือนธันวาคม 2560 ที่ตอนหนึ่งบอกไว้ว่า “เพื่อไม่ให้มีผู้ฉวยโอกาสอ้างการดำเนินการตามกฎหมายไปกระทำกิจกรรมทางการเมืองที่กระทบกระเทือนต่อความสงบเรียบร้อยและความปกติสุขในบ้านเมือง และกระทบต่อบรรยากาศความสามัคคีปรองดองระหว่างการจัดทำแผนปฏิรูปประเทศและการทำยุทธศาสตร์ชาติ...”

                อีกจุดคือคำให้สัมภาษณ์ของพล.อ.ประยุทธ์ เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน ที่ผ่านมา ที่บอกว่า “ขอให้บ้านเมืองสงบสุข สิ่งสำคัญที่สุดทุกคนต้องอย่าลืมและอย่าเอามาเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง สิ่งสำคัญที่สุด คสช.พิจารณาอยู่ในวันนี้คือการเตรียมการไปสู่พระราชพิธีบรมราชาภิเษก คนไทยทุกคนอย่าลืม เพราะถือเป็นเรื่องสำคัญ และอย่าหาว่าเอาเรื่องนี้มาอ้างเป็นคนละเรื่องกัน วันนี้ผมต้องการให้ประเทศชาติสงบ มีเสถียรภาพ ซึ่งจะมีผลต่อการลงทุนในระยะเวลานี้ด้วย ส่วนการเลือกตั้งเราก็เดินของเราไปให้เป็นไปตามครรลองประชาธิปไตย ซึ่งผมก็ไม่ได้เห็นว่าขัดแย้งอะไรกัน”

                แม้ “บิ๊กตู่” จะบอกว่าอย่าเอามาเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง

 

                2.การประชุมใหญ่ของพรรค

                ตามกฎหมายพรรคการเมืองมาตรา 39 กำหนดเรื่ององค์ประชุมของที่ประชุมใหญ่ของพรรคว่าอย่างน้อยต้องประกอบไปด้วย กรรมการบริหารพรรค ผู้แทนสาขาพรรค ตัวแทนพรรคประจำจังหวัด และสมาชิกพรรคไม่น้อยกว่า 250 คน

                แต่ปัญหาคือตอนนี้พรรคเก่าทุกพรรคไม่มีสาขาพรรคซึ่งเป็นอีกหนึ่งผลพวงจากคำสั่ง 53/2560 ที่ทำให้สาขาพรรคเดิมที่มีอยู่อันตรธานไป

                สาขาพรรคที่เคยมีหายไปและยังตั้งสาขาใหม่และตัวแทนพรรคประจำจังหวัดไม่ได้ เพราะไปผูกกับเรื่องการประกาศเขตเลือกตั้งที่ กกต.ยังทำไม่ได้

                ทั้งนี้พรรคการเมืองเก่าจำเป็นต้องมีการประชุมใหญ่เพื่อแก้ไขข้อบังคับพรรค จัดทำคำประกาศอุดมการณ์และนโยบายของพรรคให้เป็นไปตามกฎหมายพรรคการเมืองใหม่และเพื่อเลือกกรรมการบริหารพรรคตามข้อบังคับพรรคที่ต้องแก้ไขใหม่ เพื่อเดินหน้าไปสู่การหาสมาชิกพรรค การตั้งสาขาพรรค และตัวแทนพรรคประจำจังหวัด

                นี่คือสภาพปัญหาที่พรรคการเมืองบอกว่า “ไก่กับไข่” ไม่รู้อะไรเกิดก่อนเกิดหลัง ไม่รู้ต้องแก้อะไรก่อนอะไรหลัง เพราะมันพันกันยุ่งนุงนังไปหมดจนกลายเป็น “เดดล็อก”

                ข้อเสนอของพรรคการเมือง คือ ออกคำสั่งตามมาตรา 44 หรือดำเนินการแก้กฎหมายเพื่อยกเว้นให้องค์ประชุมของการประชุมใหญ่ในช่วงแรก “ไม่ต้องมีผู้แทนสาขาพรรคและตัวแทนพรรคประจำจังหวัด”

 

                3.การทำไพรมารีโหวต

                เพราะเรื่องที่ต้องทำไพรมารีโหวตนี่แหละที่ทำให้พรรคการเมืองต้องการให้ คสช.คลายล็อก คลายปมโดยเร็ว เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้ไม่สามารถทำไพรมารีโหวตได้ทัน

                แนวทางแก้ปัญหาเรื่องไพรมารีโหวตที่เคยพูดกันมามี 2 ทาง คือ คลายล็อกเพื่อให้พรรคการเมืองทำไพรมารีโหวตได้ทัน โดยให้ กกต.แบ่งเขตเลือกตั้งก่อนกฎหมายเลือกตั้งบังคับใช้ได้ จากเดิมจะทำได้หลังกฎหมายบังคับใช้ซึ่งทำได้ด้วยช่องทางมาตรา 44 หรือแก้กฎหมายเลือกตั้ง

                อีกทางคือ ไม่ต้องมีไพรมารีโหวตในการเลือกตั้งครั้งแรก ซึ่งก็ทำได้ด้วยการออกคำสั่งตามมาตรา 44 หรือแก้กฎหมายพรรคการเมือง

                ส่วนที่บางคนบางพรรคบอกว่าล้มไพรมารีโหวตไม่ได้เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดไว้นั้น ไม่น่าจะใช่ เพราะความจริงรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดเรื่องไพรมารีโหวตไว้ กำหนดไว้เพียงว่า “เปิดโอกาสให้สมาชิกมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางในการกำหนดนโยบายและการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง” แต่มากำหนดเรื่องไพรมารีโหวตไว้ในกฎหมายพรรคการเมือง ซึ่งมาเพิ่มเข้าไปในขั้นตอนของสนช.ด้วยซ้ำ คือในตอนที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญชุด “มีชัย ฤชุพันธุ์” ยกร่างมา ก็ไม่มี

                ว่ากันว่าการเพิ่ม “ไพรมารีโหวต” ขึ้นมาเพราะเห็นว่าอาจจะทำให้เกิดปัญหากับพรรคการเมืองเก่า

                ถามว่าแนวโน้มจะออกทางไหน ก็คงฟันธงไม่ได้ เพราะเอาเข้าจริงพรรคใหม่รวมทั้งพรรคของฝ่ายคสช. ก็ต้องเจอปัญหาเรื่องนี้เหมือนกัน

                เหล่านี้คือประเด็นร้อนที่จะต้องหยิบยกขึ้นมาถกกันในที่ประชุม ถกกันแล้วจะมีการปลดล็อกไหม อยู่ที่การตัดสินใจของคสช.

                นอกจากเรื่อง “สถานการณ์บ้านเมือง” อีกอย่างที่คสช.คงต้องนำมาประกอบการตัดสินใจคือจังหวะก้าวของ “พรรคหนุน พล.อ.ประยุทธ์” !!

 

=================

โดย สมฤทัย ทรัพย์สมบูรณ์

 

               

(อ่านต่อ...แกะรอย... "เกมดูด" มีอะไรซ่อนอยู่??)