คอลัมนิสต์

อย่าให้ใครเขาครหา...

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

อย่าให้ใครเขาครหา... : คอลัมน์...  ขยายปมร้อน  โดย...   อรรถยุทธ บุตรศรีภูมิ

 

          ข่าวการท่องอีสานต่อสายทางการเมืองของกลุ่มการเมืองใหม่ภายใต้ชื่อ “สามมิตร” อันนำด้วย “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” “สมศักดิ์ เทพสุทิน” “อนุชา นาคาศัย” ซึ่งมีเป้าหมายหลักอยู่ที่กลุ่มอดีต ส.ส.เพื่อไทยในคราวนี้ เรียกว่าสร้างความฮือฮาทางการเมืองได้เป็นอย่างดี

          หากย้อนไปดูการลงพื้นที่ “พิจิตร-นครสวรรค์” เมื่อสัปดาห์ที่แล้วของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ก็จะเห็น “เสี่ยแฮงค์ อนุชา นาคาศัย” ไปต้อนรับพร้อมประโยคปริศนา “เดือนนี้มีงานทำ” ก็คงจะถึงบางอ้อว่างานที่ว่านี้คืออะไร

          งานนี้ถือว่าประสบความสำเร็จไม่น้อย เพราะ “ทัพใหญ่” ของพรรคเพื่อไทยที่ปักหลักตั้งมั่นอยู่ที่ภาคอีสานถูกดึงขุนพล ไพร่ราบ พลเลว ไปไม่น้อย แม้พรรคจะออกมาทั้งขู่ทั้งปลอบว่าไม่ต้องเสียขวัญ และชี้ให้เห็นสถิติว่าครั้งที่ผ่านมาคนที่ย้ายพรรคออกไปจะเป็นอย่างไร แต่ดูเหมือนว่าสภาพที่เกิดขึ้นจะสวนทางกับความต้องการไม่น้อย

          แถมคนที่อยู่ “เบื้องหลัง” พลังดูดวันนี้ ก็แทบจะกลายมาเป็นเบื้องหน้าอย่างชัดเจน เพราะมีการเปิดเผยจากนักดูดว่าเป็น “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” นี่เองที่เป็นเจ้าสำนัก  ซึ่งก็ไม่มีเสียงปฏิเสธจากเจ้าตัวแต่อย่างใด 

          หลายคนมองว่าอำนาจรัฐ อำนาจทุน สามารถทำให้เปลี่ยนแปลงได้ ขณะที่ต้นทางเองก็เชื่อว่า กระแสและชื่อเสียงของพวกเขาจะช่วยให้ผ่านพ้นวิกฤติและนำพาพวกเข้าให้ชนะเกมที่ถนัดที่สุดอย่าง “เลือกตั้ง” ไปได้

          แม้บางคนอาจจะปรามาสว่า ประสบการณ์เมื่อครั้งเลือกตั้งปี 2554 หรือเลือกตั้ง 2550 เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าคนย้ายพรรคมีโอกาสสูงที่จะสอบตก และครั้งนี้ก็น่าจะมีโอกาสซ้ำรอยเช่นกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องไม่ลืมคือ การรัฐประหารและการออกแบบกติกาครั้งนี้ มีขั้นตอนแบบแผนที่รัดกุมกว่าที่ผ่านมามากมายนะ  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเขตที่ใหญ่ขึ้น หรือบัตรใบเดียว และที่สำคัญที่สุดคือ “ระบบคะแนนไม่ตกน้ำ”

          การเลือกตั้งครั้งก่อนๆ หากสอบตกก็หมายถึงหมดอนาคตทางการเมืองไปอย่างน้อยๆ ก็หนึ่งสมัย และคะแนนที่เลือกพวกเขาก็จะหายไป แต่ระบบใหม่ แม้จะไม่ชนะการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต หากคะแนนของพวกเขาจะไม่ไปไหนและถูกนำมานับรวมเป็นคะแนน “ป๊อปปูลาร์โหวต” ที่จะเป็นตัวกำหนดจำนวน ส.ส. 

          ที่สำคัญแม้พวกเขาแพ้ แต่หากรวมคะแนนกับพรรคพวกคนอื่นในทำนอง “เก็บเล็กผสมน้อย” คะแนนเหล่านี้ก็เป็นตัวชี้ขาดทางการเมืองได้ โดยเฉพาะกติกาที่เอื้อต่อการเกิดรัฐบาลผสม 

          เอาเข้าจริง เรื่องดูด เรื่องดึง เรื่องการรวมกลุ่มก๊วนทางการเมือง ถือเป็นสีสันอย่างหนึ่งของการปกครองระบอบประชาธิปไตย และมักเกิดขึ้นเป็นประจำในช่วงใกล้เลือกตั้ง โดยเฉพาะกับพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งที่หมายมั่นปั้นมือจะเข้ามาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และหากยึดคำมั่นของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ก็ต้องบอกว่าปี่กลองเลือกตั้งได้เริ่มขึ้นแล้ว

          แต่เรื่องราวมันจะแปลกขึ้นมาทันที หากขณะที่ใกล้เลือกตั้งพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองอื่นไม่ได้รับอนุญาตให้เคลื่อนไหวใดๆ ได้เลย ภายใต้คำสั่งห้ามทำกิจกรรมทางการเมือง และการห้ามชุมนุมทางการเมืองของ คสช. การเคลื่อนไหวไม่อาจที่จะทำได้ เพราะขืนทำก็จะขัดคำสั่ง นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่รัฐคอยตรวจสอบดูแลอย่างห่วงใยใกล้ชิด ไม่ให้นักการเมืองอื่นเคลื่อนไหวได้  

          แล้วเหตุใด “สามมิตร” อย่าง “สุริยะ-สมศักดิ์-อนุชา” จึงเคลื่อนไหวได้อย่างสบายใจเฉิบ เดินสายไปโน่นมานี่อย่างอิสระไร้พันธนาการใดๆ ให้ยุ่งยากใจเหมือนพรรคการเมืองอื่น มิพักต้องพูดการชุมนุมเกินห้าคน ที่นับหัวอย่างไรก็เกิน

          การดำเนินการทางการเมือง ควรเป็นอิสระและสิทธิเสรีภาพของคนทุกคน มิใช่ของคนบางกลุ่มเท่านั้น การที่ผูกมัดคนอื่นและปล่อยให้บางคนทำเช่นนี้ชาวบ้านร้านตลาดเรียกว่า “เอาเปรียบ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ “พรรคพลังประชารัฐ” ที่มีภาพเงาของ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” อยู่เบื้องหลัง

          นอกจากนี้ ยิ่งเป็นเรื่องแปลกที่มีบางกลุ่มการเมืองหวังที่จะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล หวังจะคั่วตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” แต่กลับไม่เปิดตัวอย่างชัดเจน อาศัยเงามืดคอยตอด คอยตีกินไปเรื่อย ชนิดที่กว่าคนอื่นจะได้เริ่มขยับพวกเขาอาจพุงกางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

          ที่รัฐบาลพึงแก้ไขโดยด่วนคือ ตอบคำถามให้ได้ว่า กลุ่มคนที่กำลังเคลื่อนไหวในขณะนี้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับคนในรัฐบาลและ คสช.หรือไม่ หรือกำลังเคลื่อนไหวเพื่อประโยชน์ของผู้ถืออำนาจรัฐในขณะนี้ เพื่อให้สืบอำนาจต่อไปภายหลังการเลือกตั้งหรือไม่

          ถ้าไม่ใช่ก็ต้องรีบออกมาแก้ไข หรือปฏิเสธให้ชัดว่าไม่รู้ไม่เห็นไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือสั่งให้ยุติการกระทำเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน หรือหากจะปล่อยก็ต้องเปิดโอกาสให้คนอื่นทำได้เช่นกัน

          หาไม่แล้วคนเขาจะครหาเอาได้ว่าสองมาตรฐาน เลือกพรรคเลือกพวก ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นแน่ๆ
 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ