โคราช คึกคัก!! รับเกมดูด "พรรค คสช."

 

                ขณะที่พรรคการเมืองออกมาโวยวายโดนกติกาของ คสช.ล็อก ไม่สามารถขยับหาสมาชิก ตั้งสาขาพรรคได้ มีคำถามว่า แล้ว “พรรค คสช.” ล่ะ จะเดือดร้อนด้วยไหม?

                จากกการพูดคุยกับอดีตนักการเมืองที่เตรียมจะไปอยู่กับ “พรรค คสช.” ตอบแบบไม่อ้อมค้อมว่า เรื่องการตั้งสาขาพรรค เรื่องการทำไพรมารีโหวต ถ้าเกิดขึ้นก็จะเป็นแค่ "พิธีกรรม” เท่านั้น การที่ “นักการเมืองเก่า” ที่มีฐานเสียงในพื้นที่ จะระดมคนสัก 100 คนมาเป็นสมาชิกพรรค ไม่ใช่เรื่องยาก

                สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในพื้นที่ตอนนี้ คือเครือข่าย “พรรค คสช.” กำลังต่อสายปล่อยพลังดูดไปในทุกพื้นที่ บางพื้นที่ “รัฐมนตรี” ไปประสานเอง บางพื้นที่มี “ข้อต่อ” ช่วยประสานให้ มีทั้งข้อต่อใหญ่และข้อต่อย่อย

                เงื่อนไขการต่อรองก็มีหลายรูปแบบ ทั้งคนที่เคยเป็นอดีต ส.ส.ครั้งที่แล้ว คนที่เป็น ส.ส.สอบตก นักการเมืองสนามใหญ่ที่ผันไปเล่นสนามท้องถิ่น และทั้งคนที่มีชนักติดหลังและไม่มีชนักติดหลัง

                นักการเมืองเหล่านี้ล้วนมีฐานเสียงในพื้นที่ ส่วนใหญ่แม้จะสอบตกก็ได้คะแนนเป็นหลักหมื่น บางคนได้เป็นหลักแสนด้วยซ้ำ ดังนั้นการจะระดมคนมาสมัครเป็นสมาชิกไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ก็จะไม่ได้เป็นไปตามที่ “เจตนารมณ์” ในการออกกฎหมายเท่านั้น

                ฉะนั้นที่คิดว่า “พรรค คสช.” จะเดือดร้อน เรื่องการหาสมาชิกเพื่อตั้งสาขาพรรคเพื่อมาทำไพรมารีโหวตนั้น ฟังจากนักการเมืองในพื้นที่เลิกกังวลไปได้เลย

                ถ้าถามว่า เมื่อการตั้งสาขาพรรคไม่ใช่เรื่องยาก แล้วทำไมบรรดาพรรคการเมืองออกมาโวยวาย คำตอบก็คงเพราะความเจ็บแค้นที่พวกเขาถูกล็อกไว้ ขณะที่ “พรรค คสช.” เดินเกมใต้ดิน “ดูด” อย่างเมามัน หรืออีกอย่าง พรรคเหล่านั้นอาจอยากมีเวลารณรงค์ให้ประชาชนมาเป็นสมาชิกจริงๆ มากกว่าการไปเกณฑ์มา

                มีการพูดกันถึงขนาดว่า กว่าจะมีการปลดล็อกพรรคการเมือง พรรค คสช.ก็คงได้ผู้สมัครครบทุกเขตแล้ว

                เป้าของพรรค คสช. คือ ต้องเป็นพรรคอันดับ 3 ให้ได้ จะเป็นรองก็เฉพาะพรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์เท่านั้น วิธีการคือ จะส่งผู้สมัครทุกเขต แล้วสู้ให้เต็มที่ หากไม่ชนะก็สะสมคะแนนมาเป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ โดยเชื่อว่าเฉลี่ยคะแนนผู้สมัครของพรรคจะอยู่ที่คนละ 1 หมื่นคะแนน 350 เขต ก็จะได้มาประมาณ 3.5 ล้านคะแนน

                จากจากคำนวนกันตอนนี้ คาดว่า 7 หมื่นคะแนนจะได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 1 คน ฉะนั้นถ้าได้ 3.5 ล้านคะแนน ก็จะได้ ส.ส.ประมาณ 50 คน ซึ่งก็น่าจะมากกว่าพรรคภูมิใจไทย และขึ้นมาเป็นพรรคอันดับ 3 ได้

                โดยเฉพาะกติกาการเลือกตั้งแบบใหม่ คือ “บัตรเลือกตั้งใบเดียว” ยิ่งจะทำให้นักการเมืองหน้าเก่าได้เปรียบ

                หากเป็นบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ก็จะมีสูตร “เลือกคนที่รัก เลือกพรรคที่ชอบ” แต่พอมีบัตรใบเดียวในต่างจังหวัดส่วนใหญ่ก็จะเลือกคนที่พวกเขารู้จักมากกว่า

                ด้วยสูตรคิดคะแนนแบบ “คะแนนไม่ตกน้ำ” นี้ จะทำให้แต่ละพื้นที่สู้กันเต็มที่แม้บางคนจะรู้ตัวว่า “ไม่ชนะ” ก็ตาม

                ขอยกตัวอย่างสภาพที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่ “โคราช” จังหวัดที่มี ส.ส.ได้มากเป็นอันดับสองรองจากกรุงเทพฯ ซึ่งครั้งนี้คาดว่าจะมี ส.ส.เขตได้ 14 คน

 

                ตอนนี้มีความเคลื่อนไหวอย่างคึกคัก แบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม

                กลุ่มใหญ่สุด คือ อดีต ส.ส.และอดีต ส.ส.สอบตกที่รวมตัวกันได้แล้วประมาณ 10 คน เป็นอดีต ส.ส.จากทั้งพรรคเพื่อไทย ภูมิใจไทย และพรรคชาติพัฒนา กลุ่มนี้กำลังอยู่ระหว่างเจรจาต่อรองกับ “พรรค คสช.” เพื่อให้ได้ “เงื่อนไข” ที่ดีที่สุด

                เดิมกลุ่มนี้มีไอเดียที่จะไปรวมกันที่ “พรรคพลังโคราช”หวังให้เกิดพรรคท้องถิ่นเหมือนที่ จ.ชลบุรี ของตระกูลคุณปลื้ม และ จ.สุพรรณบุรี ของตระกูลศิลปอาชาซึ่งมีการไปยื่นจดทะเบียนไว้ที่ กกต.แล้ว โดยนายอนันต์กรณ์ เพศประเสริฐ น้องชาย พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ อดีต ส.ส.โคราช หลายสมัย หลายพรรค

                แต่เพราะ “พลังดูด” ที่ทะลุทะลวง ทำให้อดีต ส.ส.กลุ่มนี้ต้องคิดใหม่

                อดีต ส.ส.โคราช คนหนึ่งในกลุ่มนี้ ยอมรับว่า เมื่อลงสนาม ก็อยากแข่งแบบง่ายที่สุด ไม่อยากต้องสู้แบบดุเดือด ที่สำคัญไม่อยากต้องสู้กับ “ผู้มีอำนาจ”

                สำหรับอดีต ส.ส.โคราช กลุ่มนี้ ส่วนใหญ่ผ่านการย้ายพรรคมาแล้วทั้งนั้น จึงไม่แปลกหากครั้งนี้พวกเขาจะย้ายพรรคอีกครั้ง

                กลุ่มที่สอง กลุ่มอดีต ส.ส.ที่ตัดสินใจแล้วว่าจะไปอยู่กับพรรค คสช. มี 4 คน คือ กลุ่ม วิรัช รัตนเศรษฐ และ ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี

 

(วิรัช รัตนเศรษฐ)

 

(ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี)

 

                อีกกลุ่ม คือ อดีต ส.ส.พรรคชาติพัฒนา ของ “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” ซึ่งมีอยู่ประมาณ 3 คน คาดว่า สุวัจน์ยังเลือกที่จะรักษาพรรคเอาไว้แม้อาจจะเหลือ ส.ส.อยู่เพียงไม่กี่คน

 

 

                ตอนนี้ทุกฝ่ายมองตรงกันว่า “พรรคพลังประชารัฐ” ที่มี “ชวน ชูจันทร์” ประธานประชาคมตลาดน้ำคลองลัดมะยม ไปจดทะเบียนตั้งแต่วันแรกที่ กกต.เปิดให้มีการจดแจ้งตั้งพรรค คือ วันที่ 2 มีนาคม คือ พรรคที่ “ฝ่าย คสช.” จะไปสวมยอด มาเป็นพรรคหนุน “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” กลับมาเป็นนายกฯอีกครั้ง

                รวมทั้งบรรดาอดีต ส.ส.โคราช กลุ่มใหญ่ ที่เวลาคุยก็จะใช้คำเรียกแทนพรรคที่พวกเขาน่าจะย้ายไปว่า “พรรคพลังประชารัฐ”

                ขณะที่นายชวน ผู้จดตั้งพรรค รวมถึงทางฝ่าย คสช.ปฏิเสธกันมาตั้งแต่ต้น

                อีกไม่นาน คงจะได้เห็นหน้ากันชัดๆ ยกเว้น มีเกม “ยื้อเลือกตั้ง” !!

 

================

โดย สมฤทัย ทรัพย์สมบูรณ์