4 ปีไม่เสียของ!คสช.ชูสร้างปรองดอง-วางฐานประเทศ

 

          “หากมีคำพูดที่ว่าเสียของหรือไม่ ต้องกลับไปดูเจตจำนงร่วมของสังคมว่า เวลานี้สังคมมองว่าเป็นอย่างไรในภาพรวม เราอาจได้ยินเสียงคนบางกลุ่มบางพวกที่ออกมาให้ความหมายในคำเหล่านี้ เราก็ยอมรับฟัง อะไรที่ยังไม่สมบูรณ์ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ก็คงต้องเดินหน้าสนับสนุนงานของรัฐบาลต่อไป”

          เป็นท่าทีล่าสุดจากทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พล.ต.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ที่ไม่ได้พูดสวนกระแสสังคมที่วิจารณ์กันมาในวาระครบรอบ 4 ปีที่ คสช.เข้าควบคุมอำนาจการปกครอง ว่าเป็น 4 ปีที่ “เสียของ” แต่ พล.ต.ปิยพงศ์ ก็ชี้ชวนให้สังคมพิจารณาว่าผลงานที่ คสช.ได้ทำมาก็มีไม่น้อยเหมือนกัน เพียงแต่ระยะหลังๆ หลายคนอาจจะหลงลืมไป

          “เราคงไม่สามารถลืมได้ว่าภายใต้การกำกับดูแลที่ท่านนายกฯ ได้มอบหมายให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้ดูแลงานด้านความมั่นคงตลอดระยะเวลาเกือบ 4 ปีเต็ม ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร มีการปราบปรามผู้มีอิทธิพล มีการทวงคืนทรัพยากรธรรมชาติ แก้ปัญหาการบุกรุกที่สาธารณะ มีการจัดระเบียบสังคม ตั้งแต่เรื่องวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง รถแท็กซี่ รถรับจ้างสาธารณะ รถตู้ รถโดยสารต่างๆ เหล่านี้ รวมทั้งยาเสพติด อาวุธสงคราม ก็จะเห็นได้ว่ามีกระบวนการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นในแต่ละภาคส่วน ก็มีการตรวจสอบติดตามลงโทษผู้ที่กระทำผิดต่างๆ นอกจากนั้นยังมีการปฏิรูปในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะกฎหมายที่เป็นอุปสรรคหรืออาจไม่ทันสมัยต่อสภาวะบ้านเมืองในปัจจุบัน”

 

 

          ในมุมมองของนายทหารที่เป็นดั่งตัวจักรทำงานใน คสช. พล.ต.ปิยพงศ์ บอกว่า คณะนายทหารที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้าควบคุมอำนาจการปกครองในช่วงที่บ้านเมืองกำลังมีความขัดแย้งอย่างรุนแรง ที่ผ่านมาได้ยุติความขัดแย้งและความรุนแรงเหล่านั้น กระทั่งเดินหน้าทำงานด้านอื่นๆ เพื่อนำพาประเทศไปสู่ความสงบสุข ซึ่งทั้งหมดก็เป็นไปตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับพี่น้องคนไทย

          “ในช่วงแรกทุกคนทราบกันดีว่า เกิดความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรงและนำไปสู่ความสูญเสีย มีการทำลายกันเองของคนในชาติ มีการละเมิดการบังคับใช้กฎหมายต่างๆ การบริหารราชการแผ่นดินไม่สามารถดำเนินการได้ เมื่อ คสช.เข้าควบคุมอำนาจการบริหาร สิ่งที่ได้พูดกับสังคมไว้ก็คือ จะต้องลดปัญหาความขัดแย้งลงให้เร็วที่สุดในเวลานั้น แยกย้ายแต่ละกลุ่มแต่ละฝ่ายออกไป ควบคุมให้เกิดความปกติสุขของบ้านเมืองให้เร็วที่สุด มีการฟื้นฟูสิ่งต่างๆ ที่เกิดความสูญเสียเสียหาย”

 

 

          “กระบวนการต่างๆ เกิดขึ้นมาด้วยพัฒนาการการทำงานของ คสช. ที่สนับสนุนรัฐบาล จะเห็นได้ว่ามีการกำเนิดแม่น้ำ 5 สาย มีการวางโรดแม็พ มีการดำเนินการในเรื่องของการปฏิรูป แก้ไขสิ่งที่เป็นปัญหาอุปสรรคในการบริหารราชการแผ่นดิน รวมทั้งการวางยุทธศาสตร์ของชาติ เพื่อมองไปอนาคตให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน”

          “หลักสำคัญของคสช.ก็คือการดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองให้เกิดขึ้น และสนับสนุนการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล เพื่อให้รัฐบาลสามารถแก้ไขปัญหาที่ค้างคาอยู่เเต่เดิมได้ รวมทั้งวางอนาคตของประเทศชาติสำหรับคนรุ่นต่อไป เพราะบ้านเมืองต้องพัฒนาก้าวหน้าไป ส่วนในทางความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน ต่างประเทศ เพื่อนต่างภูมิภาค คสช.ก็สานงานต่อ ด้วยความมีเกียรติมีศักดิ์ศรี สร้างความมั่นคงของประเทศชาติทั้งเศรษฐกิจ การค้าขาย รวมทั้งสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานต่างๆ ทั้งหมดก็เพื่อให้ประชาชนได้มีความรู้สึกภาคภูมิใจในความเป็นคนไทย มีความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และสามารถดำรงชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุข”

          “ฉะนั้นวันนี้เราอาจจะยังตอบไม่ได้ว่าเสียของหรือไม่เสียของ แต่อยากให้สังคมมองไปยังอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้น มองไปยังโรดแม็พที่จะเดินไปสู่การเลือกตั้งแล้วเปลี่ยนผ่านอำนาจไปสู่รัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งในช่วงรอยต่อที่สำคัญเหล่านี้ คสช.จะดูแลสนับสนุนงานรัฐบาลและกำกับให้สภาพแวดล้อมของบ้านเมืองเกิดความสุขสงบร่มเย็น” ทีมโฆษก คสช.กล่าว

 

 

          อีกหนึ่งข้อก้งขาที่หลายฝ่ายตั้งคำถามมายัง คสช. ก็คือการพยายามสืบทอดอำนาจ และคงบทบาทของกองทัพเอาไว้ โดยผ่านกลไกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการแก้ไขพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (พ.ร.บ.ความมั่นคง) โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 44 ด้วย แต่ประเด็นนี้ พล.ต.ปิยพงศ์ ยืนยันว่า ไม่ใช่การเพิ่มบทบาทหรืออำนาจของกองทัพในอนาคต เพราะกองทัพก็ยังเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งใน กอ.รมน.เท่านั้นเอง

          “กอ.รมน.ไม่ใช่แค่ทหารอย่างเดียว ยังมีหน่วยงานและองค์กรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องที่จะทำงานเพื่อสร้างความมั่นคงภายในราชอาณาจักรให้เกิดขึ้น โดยผู้นำใหญ่คือนายกรัฐมนตรี เลขาธิการ กอ.รมน.เป็นผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติความมั่นคง”

 

 

          “โดยข้อเท็จจริงแล้วกองทัพเป็นกลไกหนึ่งของรัฐ กองทัพทุกเหล่าทัพก็เป็นกลไก รัฐบาลหรือรัฐก็พยายามใช้กลไกเหล่านั้นให้เกิดประโยชน์อย่างเหมาะสมในการดูแลความมั่นคง เพราะฉะนั้นในเนื้องานจะต้องเกี่ยวข้องกับกองทัพโดยหน้าที่และตามกรอบกฎหมายอยู่แล้ว แต่ใน พ.ร.บ.ความมั่นคง ก็จะมี กอ.รมน.ที่เป็นหน่วยงานหลักตามกรอบกฎหมาย โดยมีกองทัพเป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ใน กอ.รมน. ดำเนินการภายใต้กรอบนโยบายของ กอ.รมน. และยังมีหน่วยงานอื่นๆ ที่เขามีความชำนาญ มีประสบการณ์ในหลากหลายด้านที่จะต้องทำงานร่วมกันในการดูแลรักษาความมั่นคงภายในของชาติบ้านเมือง” พล.ต.ปิยพงศ์ อธิบาย

          ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไร วิจารณ์ คสช.ในแง่มุมไหน แต่วันนี้ก็ต้องยอมรับว่า คสช.เข้ามามีบทบาทในทางการเมืองแล้ว และจะอยู่กับคนไทยต่อไป อย่างน้อยๆ ก็จนกระทั่งมีรัฐบาลใหม่ ซึ่ง พล.ต.ปิยพงศ์ บอกว่า ต้นปีหน้า คือปี 2562 จะมีการเลือกตั้งและเปลี่ยนผ่านไปสู่รัฐบาลใหม่อย่างแน่นอน