คอลัมนิสต์

4 ปีคสช.ของ "ภูมิธรรม เวชยชัย"รวยกระจุก จนกระจาย!

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

4 ปีคสช.ของ "ภูมิธรรม เวชยชัย"รวยกระจุก จนกระจาย! : คอลัมน์... เจาะประเด็นร้อน โดย... ชลธิชา รอดกันภัย ทีมล่าความจริง เนชั่นทีวี 2

 

          การเข้าควบคุมอำนาจการปกครองของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีสัญญาประชาคมที่ประกาศเอาไว้กับประชาชนคนไทย 3 ประการด้วยกัน คือ 1.สร้างความปรองดองสมานฉันท์ ลดความขัดแย้ง 2.คืนความสุขให้แก่ผู้คน ทั้งในเรื่องของเศรษฐกิจและความยุติธรรมให้แก่ทุกฝ่าย และ 3.คืนความเป็นประชาธิปไตยโดยเร็วที่สุด จากนั้นในระยะหลังก็มาพูดอีกเรื่องคือ การแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น จนนำมาสู่ฉายา “รัฐบาลปราบโกง”

          ฉะนั้นการตรวจการบ้านและให้คะแนนในวาระที่ คสช.บริหารประเทศมาครบ 4 ปี จึงควรเริ่มจากพันธสัญญา 3-4 ข้อที่ว่านี้...

          เริ่มจากการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญของการยึดอำนาจ “ภูมิธรรม เวชยชัย” เลขาธิการพรรคเพื่อไทย บอกว่า รัฐบาล คสช.เดินผิดทางตั้งแต่แรก ทำให้สุดท้ายมีผลผลิตที่เป็นรูปธรรมเพียงอย่างเดียวคือ “น้องเกี่ยวก้อย”

          “ผมว่ารัฐบาลเริ่มตั้งโจทย์ก็ผิดทางแล้ว เพราะการสร้างความปรองดองในโลกนี้ แม้รุนแรงในระดับความขัดแย้งฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ก็สามารถสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นได้ด้วยวิธีการให้ทุกฝ่ายหันมาพูดคุยกัน แล้วก็หาทางออกร่วมกัน โดยยอมรับว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น สิ่งที่ถูกและผิดควรเป็นอย่างไร แต่กระบวนการของรัฐบาล คสช. มีรูปแบบให้มีการพูดถึงปัญหา แต่ยังไปไม่ถึงจุดที่จะหาคำตอบ และทำจริงจังแค่ 23 เดือนแรกหลังยึดอำนาจเท่านั้น ที่สำคัญเราได้เห็นการพูดคุยกันแต่ฝ่ายผู้มีอำนาจอยู่ฝ่ายเดียว และสุดท้ายเราก็ได้เห็นน้องเกี่ยวก้อย” เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ระบุ

          พันธสัญญาเรื่องที่ 2 คือการคืนความเป็นประชาธิปไตย เพื่อให้บ้านเมืองกลับสู่สภาวะปกติโดยเร็ว ประเด็นนี้ ภูมิธรรม มองว่า รัฐบาล คสช.ไม่ได้ทำตามสัญญา และยังพยายามยืดเวลาการเลือกตั้งออกไป พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศหลายครั้ง หลายที่ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่พูดไม่เหมือนกัน ทำให้จนถึงทุกวันนี้ แม้จะเป็นโค้งสุดท้ายของโรดแม็พ คสช.แล้ว แต่ก็ไม่มีใครเชื่อมั่นว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นจริงในไตรมาสแรกของปีหน้า


          “ถามว่าวันนี้ความมั่นใจในการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นหรือไม่...ก็ไม่มีความมั่นใจ นักการเมืองไม่มีความมั่นใจ ไม่มีใครมีความมั่นใจ เพราะท่านบริหารประเทศไป เมื่อมีความเห็นต่างท่านก็ไม่พึงพอใจ ท่านก็บอกว่าอย่าทำให้วุ่นวาย ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น การเลือกตั้งก็อาจจะเลื่อนไปได้อีก เพราะฉะนั้นอะไรก็เกิดขึ้นได้ ความจริงเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เพราะฉะนั้นสิ่งที่คนในภาคส่วนต่างๆ เขาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลชุดนี้ก็คือ ท่านสร้างความไม่แน่นอนให้เกิดขึ้น เมื่อมีความไม่แน่นอน จึงนำไปสู่ความไม่มั่นใจ”

          ผลงานด้านเศรษฐกิจของ คสช. ยังคงเป็นประเด็นถกเถียงของคนหลายกลุ่มว่าตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในระยะหลังนั้น เป็นตัวเลขจริงหรือตัวเลขลวง และที่สำคัญ “ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง” หรือ real sector ซึ่งหมายถึงภาคการผลิตและแรงงาน พวกเขาเหล่านั้นมีเงินในกระเป๋ามากขึ้นหรือไม่ คำตอบของ ภูมิธรรม ก็คือ ทุกอย่างไม่ได้ดีขึ้นจริงเลย

          “ถ้ารัฐบาลไปดูตัวเลขทางเศรษฐกิจของไทย จริงๆ แล้วมันดาวน์ลงมาตั้งแต่ทำปฏิวัติรัฐประหาร ปัจจุบันตัวเลขภาพรวมทางเศรษฐกิจมันกระดกสูงขึ้นนิดหนึ่ง แต่ว่านั่นเกิดขึ้นเพราะว่าภาวะเศรษฐกิจของประเทศมันอิงกับเศรษฐกิจโลกที่ค่อยๆ ขยับดีขึ้น เพราะฉะนั้นตัวเลขจึงไม่ได้ตอบโจทย์ เพราะตัวเลขมันดำดิ่งลงไปมาก แล้วมันก็ดีดกลับขึ้นมาหน่อยหนึ่งเท่านั้น”

          “เศรษฐกิจที่รัฐบาลได้ดำเนินการมาทั้งหมด ยังไม่ได้ทำให้เครื่องยนต์ของเศรษฐกิจทั้ง 4 ตัวขับเคลื่อนได้ การลงทุนในปัจจุบันถือว่าน้อยมาก หากเปรียบเทียบกับประเทศในภูมิภาคนี้ การเจริญเติบโตของเราน้อยกว่าเวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย เมียนมาร์ รวมถึงกัมพูชาด้วยซ้ำ และที่สำคัญสิ่งที่เป็นปัญหามากที่สุดคือเศรษฐกิจฐานรากไม่ขยับ”

          “รัฐบาลต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า การบิดเบือนความเป็นจริงทางเศรษฐกิจกับพี่น้องประชาชนนั้นมันบิดเบือนไม่ได้ ท่านบอกเศรษฐกิจดี ตัวเลขเจริญเติบโตมาก แต่เงินในกระเป๋าของประชาชนไม่มี กำลังซื้อขาดหายไป ร้านค้าต่างๆ ที่เป็นผู้ประกอบการมีแต่ลดน้อยถอยลง ปิดตัวเองลงไปเรื่อยๆ ท่านพูดว่าดีอย่างไร ความรู้สึกก็ยังไม่ดี ร้านค้ามีปัญหาหมด ห้างสรรพสินค้ามีแต่คนเดินตากแอร์ เดินดูของให้สบายใจ แต่ว่าไม่ได้ซื้อ เขาบอกว่าคนมีเงินไม่อยากใช้เงิน คนไม่มีเงินอยากใช้เงิน” เลขาธิการพรรคเพื่อไทย อธิบาย

          ส่วนการดึงยักษ์ใหญ่ด้าน “อี-คอมเมิร์ซ” อย่าง “แจ็ค หม่า” แห่ง “อาลีบาบา” เข้ามาปลุกความคึกคักของตลาดออนไลน์นั้น ภูมิธรรม มองว่า มีแต่การโฆษณาว่าจะขยายตลาดให้สินค้าไทย แต่รัฐบาลไม่ได้บอกประชาชนคนไทยว่าต้องเตรียมรับมืออย่างไรกับสินค้าจีนที่จะทะลักเข้ามาทางตลาดออนไลน์เช่นกัน ภาวะเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการอัดงบประมาณลงสู่รากหญ้าอย่างโครงการ “ไทยนิยมยั่งยืน” เพราะแม้จะสร้างภาพให้ใหญ่โตดูดีอย่างไร แต่เงินกลับไม่ถึงมือประชาชน

          “สิ่งสุดท้ายที่เห็น เงินที่ลงมามันไม่ได้ถึงมือคนที่เป็นระดับรากหญ้าที่เอาไปจับจ่ายใช้สอยได้จริง ถ้าท่านเอาเงินเหล่านี้ไปถึงมือของพี่น้องประชาชน และสามารถจับจ่ายใช้สอยได้ มันจะเกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจอีกมากมาย แต่สิ่งที่รัฐบาลทำมันไปไม่ถึง ส่วนกรณีของธงฟ้าประชารัฐ พอทำจริงๆ กลายเป็นว่าจ่ายงบลงมาแล้วก็กลับไปข้างบนอีก เพราะฉะนั้นคนที่ได้ประโยชน์จากโครงการที่เกิดขึ้นคือบริษัทตระกูลใหญ่ๆ เพียงไม่กี่ตระกูลที่ได้ประโยชน์จากการกระจายเงินและทรัพยากร ส่วนประชาชนจริงๆ เขาไม่ได้ประโยชน์มากเท่าที่ควร”

          “สิ่งที่ท่านพยายามใช้งบประมาณอย่างมากมาย กับวิธีการบริหารเศรษฐกิจโดยเฉพาะเศรษฐกิจระดับฐานรากที่ขาดการกระจายตัว มันจึงมีคำพูดที่ว่า...รวยกระจุก จนกระจาย” ภูมิธรรม กล่าว

          เลขาธิการพรรคเพื่อไทย บอกด้วยว่า กุญแจดอกสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประเทศในโลกปัจจุบัน คือ “ประชาธิปไตย” แต่เมื่อกลไกทางการเมืองแบบ คสช.ไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นนั้นได้ จึงกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนอย่างรุนแรง

          เมื่อประกอบกับวิธีการแก้ไขปัญหาแบบ “นักการทหาร” ที่ขาดการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน จึงยิ่งทำให้การแก้ไขปัญหาต่างๆ ไม่ประสบผลสำเร็จ การแก้ปัญหาทุจริตก็ถูกประชาชนตั้งคำถาม แม้ตัวเลขดัชนีคอร์รัปชั่นจะกระเตื้องขึ้น แต่ก็ยังต่ำกว่าช่วงก่อนการยึดอำนาจ หนำซ้ำล่าสุดนายกรัฐมนตรียังจะลงมาเป็น “ผู้เล่น” เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในสนามการเมืองเสียเอง จึงยิ่งทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์
ฉะนั้นทางออกของบ้านเมืองนี้จึงมีอยู่ทางเดียว คือ คสช.ต้องทำตามสัญญา คืนอำนาจให้ประชาชนโดยเร็วที่สุด

          “ขณะนี้มันมีปัญหาไปหมด เพราะท่านบริหารประเทศบนพื้นฐานที่ท่านไม่ได้เข้าใจ ท่านอาจจะเก่งและเชี่ยวชาญด้านการทหาร การเป็นนักรบ สามารถจัดการปัญหาด้านความมั่นคงได้ แต่พอท่านมาจัดการเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความซับซ้อนเกี่ยวโยงกัน โดยเฉพาะในสังคมปัจจุบันที่โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ความสัมพันธ์ภายในสังคมเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นว่าทุกอย่างที่ท่านเคยเชื่อมั่นว่าจะใช้การจัดการแบบทหารได้ มันไม่ใช่แล้ว เพราะนี่คือสังคมของประเทศในโลกยุคใหม่ ฉะนั้นวันนี้ประชาชนจึงขอให้ท่านทำตามสัญญา ขอให้นำไปสู่การเลือกตั้งโดยเร็ว”

          บทสรุปของ ภูมิธรรม ในวาระ 4 ปี คสช.ก็คือการย้อนถามกลับไปยัง คสช.ที่ว่า ได้เข้าสู่ความเป็นจริงในความปรารถนาของประชาชนจริงหรือไม่ ? เพราะเท่าที่เห็นและเป็นอยู่ ยังไม่มีผลงานที่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมเลย !

          เจรจาให้ถูกตัว...ทางออกแก้ขัดแย้งการเมืองไทย
          พูดถึงการสร้างความสามัคคีปรองดอง โดยเฉพาะในมิติของความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งสังคมไทยตกอยู่ในสภาพ “แบ่งสี-แบ่งขั้ว-แบ่งฝักแบ่งฝ่าย” มานานกว่า 10 ปีแล้ว แต่ในยุค คสช.ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ กลับยังไม่สามารถปลดชนวนขัดแย้งและทำความปรองดองให้เกิดขึ้นได้

          คำถามที่น่าสนใจก็คือ ปัญหาของกระบวนการที่คสช.ทำมาตลอดอยู่ตรงไหน และการสร้างสามัคคีปรองดองให้เกิดขึ้นได้จริง ต้องทำอย่างไร

          เมื่อเร็วๆ นี้ “ชมรมเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อสันติธรรม” ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของนักเจรจาไกล่เกลี่ยจากหลายภาคส่วนในบ้านเรา ได้จัดเวทีเสวนาทบทวนบทเรียนและความก้าวหน้าในการเจรจาไกล่เกลี่ยในสังคมไทย ที่โรงแรมมารวยการ์เด้น เนื้อหาของงานเสวนา นอกจากจะเป็นการบอกเล่าประสบการณ์และความก้าวหน้าของกระบวนการเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อยุติข้อขัดแย้งต่างๆ ในสังคม ทั้งในกระบวนการยุติธรรม ศาล อัยการ ตลอดจนแวดวงทางการแพทย์และสาธารณสุขแล้ว ตอนหนึ่งยังมีการพูดกันถึงกระบวนการเจรจาไกล่เกลี่ยพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งแบ่งสีของสังคมการเมืองไทยด้วย

          ศ.นพ.วันชัย วัฒนศัพท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการความขัดแย้งและการเจรจาไกล่เกลี่ย ชี้ปัญหาว่า กฎหมายบ้านเรามีแต่รัฐธรรมนูญที่เขียนเฉพาะหมวดศาล สิทธิ และหน้าที่ แต่ไม่มีหมวดปรองดอง ฉะนั้นเมื่อไรก็ตามที่คู่ขัดแย้งอ้างศาล อ้างกฎหมาย และอ้างสิทธิ์ ผลก็จะเป็นแพ้กับชนะ แต่การเจรจาไกล่เกลี่ย ผลจะออกมาเป็น “ชนะ-ชนะ” หรือ “วิน-วิน”

          หมอวันชัย บอกด้วยว่า การเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองของไทย กลุ่มนักสันติวิธีได้พยายามเข้าไปเจรจาตั้งแต่เกิดปรากฏการณ์ “เสื้อเหลือง-เสื้อแดง” มีการจัดเวทีสานเสวนาหาทางออก โดยเข้าพบผู้นำทุกฝ่าย ทั้งรัฐบาล ฝ่ายค้าน แต่กระบวนการยังก้าวไปไม่ถึง “จุดกึ่งกลาง” ที่ทุกฝ่ายเห็นร่วมกันที่จะนำสังคมไปสู่สันติสุขได้

          ปัญหาสำคัญที่ หมอวันชัย ได้พบเจอมาจากประสบการณ์ที่จัดเวทีเหล่านี้ก็คือ ตัวแทนแต่ละสีเสื้อที่มาพูดคุย ยังไม่ใช่ “ตัวแทนที่แท้จริง” ฉะนั้นต้องคุยกับ “ตัวแทนที่แท้จริง” และมีอำนาจตัดสินใจ

          ที่สำคัญ กระบวนการพูดคุยเจรจา ต้องชวนให้ทุกฝ่ายมองไปข้างหน้า หา “จุดกลาง” ร่วมกัน ไม่ใช่พูดถึงแต่ “จุดยืน” ของแต่ละฝ่ายที่ไม่มีทางมาบรรจบกันได้ ฉะนั้นความสำเร็จคือ “แสวงหาจุดร่วม” ที่พอยอมรับร่วมกันได้ และก้าวเดินต่อไป ส่วนความผิดพลาดในอดีตที่แต่ละฝ่ายได้กระทำมา ก็ต้องขอโทษประชาชน ขอโทษคู่ขัดแย้งอีกฝ่าย ขอโทษเหยื่อ โดยต้องเป็นการขอโทษอย่างจริงใจ เพื่อให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้าด้วยกัน
 

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ