คอลัมนิสต์

ปลด “สมชัย” อีกหนึ่ง “กองหนุน” ที่หายไป

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ปลด “สมชัย” อีกหนึ่ง “กองหนุน” ที่หายไป  :คอลัมน์... ขยายปมร้อน  โดย... อรรถยุทธ บุตรศรีภูมิ

 

          “ต้องทำใจงานใหญ่ ให้ต้องเอียง” นี่คือบทกวีอันลือลั่นของ กกต.เจ้าบทเจ้ากลอนอย่าง “สมชัย ศรีสุทธิยากร” ที่วันนี้กลายเป็นเพียงอดีต อันเป็นผลมาจากคำสั่งของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผู้ถือและใช้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์ในปัจจุบัน

          เหตุผลตามคำสั่งดังกล่าวมีสองข้อคือ สรุปเป็นภาษาง่ายๆ คือ 1.ข้อหาพูดมาก พูดถึงเรื่องกำหนดวันเลือกตั้งทำให้เกิดความสับสน และเป็นอุปสรรคต่อการทำงานในหน้าที่ กกต. และ 2.ข้อหาที่ไปลงสมัคร เลขาธิการ กกต. โดยตัวเองยังนั่งเก้าอี้เป็น กกต. ทำให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน

          ผลจากคำสั่งทำให้ “สมชัย” ต้องกระเด็นตกเก้าอี้ทันที แบบไม่มีสิทธิ์ร้องอุทธรณ์ ท่ามกลางความตกตะลึงของคนในสังคม เพราะเป็นครั้งแรกที่ “หัวหน้า คสช.” ใช้อำนาจปลดกรรมการองค์กรอิสระ

          ก่อนหน้านี้การใช้อำนาจของ คสช. เกี่ยวกับองค์กรอิสระมักจะเป็นเรื่องการต่ออายุให้ทำงานต่อได้ เพื่อรอให้กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จและรอการสรรหากรรมการชุดใหม่ แต่หลายคนอาจลืมไปว่าเมื่อมีอำนาจตั้ง ก็ย่อมมีอำนาจปลด
     
          หากย้อนดูอดีตของ “สมชัย” นับแต่เป็น กกต. ดูเหมือนเขาผ่านเส้นทางขรุขระมาไม่น้อย โดยเริ่มต้นของการดำรงตำแหน่ง กกต. เขาถูกมองว่าไม่เป็นกลาง และเอียงข้างจนนำพาสถานการณ์เข้าสู่การยึดอำนาจรัฐประหาร

          ตอนนั้นเขาถูกตราหน้าว่าเป็น “นั่งร้าน” ให้คณะรัฐประหาร จากการที่ไม่พยายามจัดการเลือกตั้งให้สำเร็จ รวมถึงการแสดงออกในหลายทีที่ทำให้คนสงสัยว่าเขามีความเป็นกลางหรือไม่ โดยเฉพาะการโพสต์เหน็บแนมคนของรัฐบาลในขณะนั้น และความพีคที่สุดก็ตรงบทกวี “งานใหญ่ ใจต้องเอียง” นี่เอง ที่ทำให้คนด่ากันขรม เพราะหน้าที่ของกรรมการการเลือกตั้งคือการเป็นกรรมการและยืนตรงกลาง

          นอกจากนี้ยังมีรูปตอนที่เขาไปปรากฏตัวในการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของเขาอยู่ห่างจากคำว่าตรงกลาง และคำว่ากระทำเพื่อเอื้อต่อบางสถานการณ์ก็คืบคลานเข้ามาแทนที่ จนกระทั่งมีการรัฐประหาร หลายคนก็มองว่า “สมชัย - คสช.” คงเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย

          ซึ่งแรกๆ ก็เป็นเช่นนั้น แต่มุมหนึ่งก็อาจเป็นเพราะหลังการรัฐประหารเป็นต้นมาคณะกรรมการการเลือกตั้งก็แทบอยู่ในภาวะว่างงาน

          หากต่อมาความร้าวฉานเริ่มมีให้เห็นเมื่อเกิดประเด็นเรื่องเซตซีโร่กรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งธงของกรรมการร่างรัฐธรรมนูญในฐานะผู้ร่างกฎหมายลูกก็ต้องการให้โละ กกต.ออกไป และ สนช.ก็เห็นด้วย ข้ออ้างเรื่อง ปลาสองน้ำ คนสองที่มา กลายเป็นข้ออ้างหลัก แถมด้วยเหตุผลเรื่องภารกิจตามรัฐธรรมนูญใหม่ ที่ควรได้คนตามรัฐธรรมนูญใหม่ก็ถูกหยิบยกขึ้นมา วิวาทะระหว่าง “มีชัย ฤชุพันธุ์” และ “สมชัย ศรีสุทธิยากร” มีมาเป็นระยะๆ สุดท้ายแล้ว สนช.ก็เห็นด้วยให้รีเซตคณะกรรมการการเลือกตั้ง

          จากนั้น “สมชัย” ก็เริ่มมีบทบาทที่กลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากับรัฐบาล มุมมองด้านกฎหมายที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐบาลเริ่มออกมามากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะปัญหาและอุปสรรคเกี่ยวกับการเลือกตั้ง และน่าคิดว่าหลายครั้งคำพูดของเขามักจะถูก

          กับเรื่องสุดท้ายคือเรื่องการพูดถึงโรดแม็พการเลือกตั้ง หากจะมีผู้ยื่นตีความกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. ต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งแน่นอนว่าขัดกับคำพูดของ “ท่านผู้นำ” ที่พยายามยืนยันว่าจะมีการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 แต่ “สมชัย” มองว่าเป็นการวางหมากที่ลึกซึ้งในการเลื่อนเลือกตั้ง นี่น่าจะเป็นฟางเส้นสุดท้าย

          อย่างไรก็ตาม ต่อกรณีนี้จุดยืนของ “สมชัย” จะเป็นอย่างไรอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ของกรณีนี้เท่ากับ การใช้ ม.44 เป็นการวาดเส้นของ “ประยุทธ์” ว่าสามารถก้าวล่วงเข้ามาสู่ปริมณฑลขององค์กรอิสระ จากเดิมที่เขาใช้เพียงในการต่ออายุเพื่อให้ทำงานต่อได้ แต่ครั้งนี้เป็นการ “ปลด”

          ลองนึกภาพดูว่าหากในอดีตมีรัฐบาลใดปลดกรรมการการเลือกตั้งได้จะเป็นอย่างไร

          จุดประสงค์การเกิดขึ้นและมีอยู่ขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ 2540 ที่เรียกกันว่าเป็นการปฏิรูปการเมืองนั้น ต้องการให้เกิดองค์กรที่ขึ้นมาทำหน้าที่สำคัญๆ อย่างเป็นอิสระจากอำนาจรัฐ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเลือกตั้ง เรื่องจัดการการทุจริต

          มาถึงวันนี้การกระทำของ “ประยุทธ์” ทำให้เห็นว่า “องค์กรอิสระ” จะไม่เป็นอิสระอีกต่อไป แม้เขาจะยืนยันว่าเขาจะใช้อำนาจตามที่สมควร แต่ใครเล่าจะสามารถเชื่อใจคนที่มีดาบในมือ ใครเล่าจะไม่ตามใจผู้ถืออำนาจที่ส่งผลต่อความเป็นอยู่เป็นไปได้

          ถามว่าการเลือกตั้งที่ต้องการความเป็นอิสระ จะยังได้รับความเชื่อถือว่าผู้จัดจะเป็นอิสระต่อไปอีกหรือไม่ จะมีใครมั่นใจได้ว่าหากวันหนึ่งการเดินหน้าจัดการเลือกตั้งไม่เป็นดั่งใจผู้มีอำนาจ ไม่เป็นไปตามความต้องการ ดาบแห่ง ม.44จะไม่ฟาดฟันลงมาอีก

          เพราะ ม.44 นั้นเป็นอำนาจที่ไร้ซึ่งการตรวจสอบ และใช้ได้ตามแต่ใจอยากของผู้ที่มีมันอยู่ ไม่แปลกที่การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นจะไม่ถูกมองว่าเป็นกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามที่มีผู้ที่พร้อมจะปูทางให้ “ประยุทธ์” กลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้ง

          การมีอยู่ของ “สมชัย” อาจจะขัดหูขัดตาบ้าง แต่การปลด “สมชัย” กลับไม่เกิดประโยชน์อันใด การอยู่หรือไม่อยู่ของเขา ก็ไม่ได้มีอำนาจพอที่จะเปลี่ยนแปลงอะไร เพราะอำนาจทั้งหมดอยู่ที่มือ “หัวหน้า คสช.”

          ในทางตรงข้ามการปลดมีแต่จะทำให้สถานการณ์การเมืองของ “ประยุทธ์” ย่ำแย่ลง

          สถานการณ์ของ “ประยุทธ์” วันนี้ต้องบอกว่าไม่ดีเอาเสียเลย  เพราะนอกจากความน่าเชื่อถือที่ลดต่ำลงแบบสุด คนเคยรักก็หายไปเรื่อยๆ ทีละคนสองคน ทั้งจากฝีมือของรัฐบาล และจากฝีมือของตัวเอง

          ทำให้คิดถึงประโยคของ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ วันที่นายกฯ เข้าอวยพรปีใหม่ และได้ให้โอวาทแบบหนักๆ ว่า  “ตู่ใช้กองหนุนไปเกือบหมดแล้ว”
 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ