คอลัมนิสต์

อะไรทำให้ ‘พรรคอนาคตใหม่’ อยู่กลาง ‘สปอตไลท์’

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

‘พรรคอนาคตใหม่’ ที่เปิดตัวด้วย ‘คนธรรมดา’ ที่ไม่มีนักการเมืองเป็นส่วนประกอบ

 

            เปิดตัวไปแล้วอย่างเป็นทางการ สำหรับ “พรรคอนาคตใหม่” จะเรียกว่าอลังการก็ไม่เชิง เพราะที่ผ่านมาในอดีตก็มีการเปิดตัวพรรคใหม่ที่อลังการงานสร้างกว่านี้มาก หรือหากจะเทียบกับการจัดงานอีเวนท์และการเปิดตัวธุรกิจงานนี้ก็ไม่ถือว่าหรูหราหรือยิ่งใหญ่ตระการตาแต่อย่างใด แต่กลับใช้วิธีเรียบง่ายในลักษณะคนรุ่นใหม่ และใช้เอกลักษณ์ของบุคคลที่มาร่วมเป็นตัวดึงดูดแทน

            แต่อะไรที่ทำให้พรรคนี้ได้รับความสนใจและตกอยู่ท่ามกลางสปอตไลท์แม้การเมืองจะยังขยับได้ไม่เต็มตัวด้วยซ้ำไป ลำพังตัวคนตั้งพรรค สร้างความสนใจได้ขนาดนั้นจริงหรือ อะไรที่เป็นปัจจัยทำให้พรรคนี้ดูโดดเด่นในยามนี้

 

อะไรทำให้ ‘พรรคอนาคตใหม่’ อยู่กลาง ‘สปอตไลท์’

 

            ปัจจัยแรกคือ นี่เป็นช่วงแรกของการเคลื่อนไหวทางการเมือง เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกที่การเมืองขยับได้ในรอบเกือบสี่ปี ย้อนกลับไปปี 2557 เมื่อ คสช.เข้าควบคุมอำนาจการบริหารประเทศ ก็ออกประกาศคำสั่งห้ามเคลื่อนไหวทางการเมือง ห้ามชุมนุมทางการเมือง นับแต่นั้นกิจกรรมทางการเมืองแบบเดิมๆ ทุกอย่างก็ยุติลง หากใครล้ำเส้น คสช.ก็จะเข้าไปพูดคุย หากหนักเข้าก็อาจจะโดนข้อหาละเมิดคำสั่ง คสช.

            จนกระทั่งกฎหมายพรรคการเมืองฉบับใหม่ประกาศใช้ แต่ คสช.ก็ยังไม่ยอมปลดล็อก มาถึงเมื่อวันที่ 1 มีนาคม ที่ผ่านมา ที่ คสช.อนุญาตให้พรรคการเมืองที่ปรารถนาจะตั้งขึ้นใหม่สามารถเข้ามาจดจองชื่อพรรคได้ตามกฎหมาย ดังนั้น เมื่อเป็นการขยับครั้งแรกในรอบ 4 ปี ความเคลื่อนไหวนี้จึงได้รับความสนใจอย่างมาก ซึ่งไม่เฉพาะ “พรรคอนาคตใหม่” เท่านั้น แต่พรรคใดที่ดูโดดเด่นก็ได้รับความสนใจไม่แพ้กัน  ไม่ว่าจะเป็น พรรคพลังธรรมใหม่, พรรคพลังประชารัฐ ที่ไปจดแจ้งแล้ว หรือพรรคที่คาดว่าจะไปจดแจ้งอย่าง พรรคมวลมหาประชาชน ทั้งนี้ ก็เนื่องจากการคาดการณ์ว่าบางพรรคอาจเป็นตัวแปร บางพรรคอาจเป็นตัวแทน และบางพรรคพร้อมที่จะก้าวขึ้นมาเป็นพรรคใหม่ การขยับครั้งแรกในรอบ 4 ปี จึงน่าสนใจยิ่ง

 

อะไรทำให้ ‘พรรคอนาคตใหม่’ อยู่กลาง ‘สปอตไลท์’

 

            ประการต่อมาคือ “พรรคอนาคตใหม่” เป็นพรรคที่เปิดตัวแบบไม่มีนักการเมือง และเป็นแนวร่วมของคนรุ่นใหม่ ปฏิเสธไม่ได้ว่าช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาสังคมไทยถูกปลูกฝังให้เรียนรู้ว่านักการเมืองเป็นต้นตอของปัญหาทั้งหมดทั้งปวง รวมถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในช่วงหลังก็ถูกโยนไปที่นักการเมืองเป็นเป้าหมายหลัก ที่สำคัญนักการเมืองเองก็ไม่ได้แสดงให้เห็นมากนักว่าไม่ได้เป็นปัญหาดังที่ถูกกล่าวอ้าง

            “พรรคอนาคตใหม่” ที่เปิดตัวด้วย “คนธรรมดา” ไม่มีนักการเมืองเป็นส่วนประกอบ หรือแม้แต่ข้าราชการก็ยังไม่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพรรค แต่จะมีส่วนต่างๆ ที่เป็นตัวแทนแห่งความหลากหลายของสังคม โดยรวมกลุ่มปัญหาต่างๆ จึงทำให้ถูกมองว่าเป็นพรรคที่มีความแตกต่าง และถูกแยกออกจากคำว่า “การเมือง” แบบเดิมๆ  นี่จึงเป็นอีกจุดที่พรรคนี้ได้รับความสนใจ

 

อะไรทำให้ ‘พรรคอนาคตใหม่’ อยู่กลาง ‘สปอตไลท์’

 

            ปัจจัยเสริมเรื่องความไม่ใช่นักการเมืองในแบบเก่า คือเรื่องการที่เป็นคนรุ่นใหม่ ไม่เพียงสองแกนนำหลักอย่าง “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” และ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มไฟแรง คนหนึ่งใช้คำนำหน้าอย่างไม่กังขาว่า “นักธุรกิจหนุ่ม” อีกคนก็ไม่ต่างกันกับฉายา “นักวิชาการรุ่นใหม่” 

            นอกจากนี้ ผู้ร่วมจดตั้งพรรคยังเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความหลากหลาย มีเอกลักษณ์ดังความสนใจ ไม่ว่าจะเป็น คริส โปตระนันทน์ นักธุรกิจ นักกฎหมายที่วิพากษ์วิจารณ์ด้านการเมืองในเชิงวิชาการ เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร หนุ่มนักนิติศาสตร์ ผู้หลงใหลในการทำคราฟท์เบียร์ และหาญสู้กับเจ้าตลาด นลัทพร ไกรฤกษ์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ของผู้พิการ Thisable.me ฟารีด ดามาเร๊าะ ประธานสมาคมนิสิตนักศึกษาไทยมุสลิม เคท ครั้งพิบูลย์ นักปกป้องสิทธิเพื่อความหลากหลายทางเพศ ฯลฯ

 

อะไรทำให้ ‘พรรคอนาคตใหม่’ อยู่กลาง ‘สปอตไลท์’

 

            คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนรุ่นใหม่ และเป็นผู้นำความคิดของคนในกลุ่มของพวกเขา เอาเป็นว่าหากมีการเลือกตั้งมีความเป็นไปได้สูงว่ากลุ่มคนเหล่านี้จะสามารถมีอิทธิพลต่อ “นิวโหวตเตอร์” หรือผู้ลงคะแนนหน้าใหม่ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าคนเหล่านี้โหยหาการเลือกตั้ง เพราะเป็นเวลาเกือบ 8 ปี ที่พวกเขาไม่เคยเลือกตั้ง ผู้ที่เคยเลือกตั้งครั้งแรกเมื่อปี 2554 กว่าจะได้เลือกตั้งอีกครั้งพวกเขาก็อายุ 26 ปีเข้าไปแล้ว หรือเด็กรุ่นใหม่ที่มีอายุ 18 ปี การเลือกตั้งครั้งสุดท้ายที่พวกเขาเคยพบก็อยู่ที่สมัยประถม คนเหล่านี้จึงมีแนวโน้มที่จะให้ความสนใจกับคนรุ่นใหม่ วัยใกล้เคียงและมีวิธีคิดที่คล้ายกับเขา

            ปัจจัยประการต่อมาคือ “จุดยืนทางสังคมที่ท้าทายต่อโลกเก่า" จนบางคนมองว่าเป็น “พรรคก้าวหน้า” แต่ละเรื่องที่เป็นจุดขายของคนกลุ่มที่เข้ามาถือได้ว่ามีความล่อแหลมและท้าทายต่อวิธีคิดแบบเดิมๆ โดยเฉพาะกลุ่มอนุรักษนิยม และจุดเชื่อมแห่งยุคสมัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจุดยืนต่อ ม.112 ของ “ปิยบุตร” เรื่องความหลากหลายทางเพศ เรื่องเสรีภาพในการนับถือหรือไม่นับถือศาสนา เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของ “เวลา” และ “คนสองยุค” ทำให้พวกเขาได้รับความสนใจทั้งจาก “คนยุคเก่า” ในแง่ศัตรูทางความคิด และ “คนยุคใหม่” ในแง่เพื่อนร่วมสมัย ไม่ว่าจะยุคไหนก็มองพวกเขาอย่างสนใจไม่ว่าจะในสถานะใดก็ตาม

 

อะไรทำให้ ‘พรรคอนาคตใหม่’ อยู่กลาง ‘สปอตไลท์’

 

            และที่สำคัญคือ “จุดยืนทางการเมือง” ที่ต่อต้านอำนาจปัจจุบัน ปฏิเสธอำนาจแบบเผด็จการ และประกาศจุดยืนไม่ยอมรับนายกฯ คนนอก ทำให้พวกเขายิ่งถูกจับตาทั้งฝั่งหนุนและต้านทหาร มีทั้งคนให้กำลังใจและคนที่ไม่ชอบ การมีอยู่ของพวกเขา แต่ที่แน่ๆ มีอีกกลุ่มที่คอยดูพวกเขาตาไม่กะพริบ นั่นคือ “ทหาร” และ “อำนาจรัฐ” ในปัจจุบัน

            เรื่องต่อมาที่ทำให้พวกเขาได้รับความสนใจคือ การเปิดโอกาสของ รัฐธรรมนูญปี 2560 หากเป็นในอดีต พรรคเช่นนี้อาจถูกมองว่าเป็นแค่สีสัน เพราะความที่เป็นคนรุ่นใหม่และไม่มีฐานคะแนนในพื้นที่สนับสนุนเหมือนนักการเมืองมืออาชีพ ลงสนามเลือกตั้งไปก็ไม่มีหวังกับที่นั่ง ส.ส.ในสภา แต่เนื่องด้วยรัฐธรรมนูญปัจจุบันที่เปิดโอกาสให้ทั้งประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง ทำให้พวกเขามีลุ้นที่จะแบ่งที่นั่งและมีตัวแทนในสภาในแบบ “บัญชีรายชื่อ” ซึ่งคะแนนของคนรุ่นใหม่ทั่วประเทศน่าจะแปรเป็นคะแนนได้ไม่น้อย และคะแนนของพวกเขาก็จะไม่สูญหาย คนที่เลือกก็จะมีความหวังว่าพรรคที่เขาเลือกจะไปเป็นปากเป็นเสียงในสภาเพื่อสร้างการเมือง

 

อะไรทำให้ ‘พรรคอนาคตใหม่’ อยู่กลาง ‘สปอตไลท์’

 

            ประการสุดท้ายที่คนจับตาพรรคนี้เป็นพิเศษอย่างยากที่จะปฏิเสธคือ “ความเหมือน” ระหว่าง “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” และ “ทักษิณ ชินวัตร” ทั้งในแง่ความเป็นนักธุรกิจหนุ่มเมื่อครั้งก้าวเข้าสู่การเมือง ความมั่งคั่งในสินทรัพย์ การก่อตั้งพรรคที่รวบรวมคนรุ่นใหม่ นักวิชาการ ที่คล้ายจะเป็นจุดเริ่มต้นของ “ทักษิณ” กับพรรคพลังธรรม และพรรคไทยรักไทย ไม่รวมถึงการใช้วิธีคิดแบบนักการตลาดในการโปรโมทและนำเสนอความคิดของตัวเอง ไม่แปลกที่หลายคนจะจับทั้งสองมาเปรียบเทียบและเฝ้าดูเป็นพิเศษ

            อย่างไรก็ตาม การจับตาดูและได้รับความสนใจก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เพราะสุดท้ายคนที่จะตัดสินใจเลือกก็คือประชาชนว่าจะเชื่อมั่นในใคร หรือนโยบายของพรรคใด  หากใครต้องการเป็นทางเลือกให้ประชาชนก็สามารถจัดตั้งพรรคการเมืองที่ถือเป็นสิทธิตามกฎหมายและก้าวลงสู่สนามเลือกตั้ง ที่เป็นเวทีสร้างความชอบธรรมในการเข้าสู่อำนาจได้ดีที่สุด ผ่านการมอบอำนาจโดยประชาชน รักแบบไหน ชอบแบบไหน อยากวาดอนาคตแบบไหน ใหม่หรือเก่า ทุกคนสามารถกำหนดได้เอง รอแค่เวลาเข้าคูหาเท่านั้น


----------------------------------

(บายไลน์ : อรรถยุทธ บุตรศรีภูมิ)

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ