กติกาใหม่... คนเพื่อไทยซบพรรคเล็ก -ปชป.พรรคต่ำกว่า 100??

          เปิดหน้ากันไปสดๆ ร้อนๆ 42 พรรคใหม่ เพิ่งแจ้งจัดตั้งพรรคการเมืองต่อคณะกรรมการจัดการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อวันที่ 2 มีนาคม ที่ผ่านมา ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 53/2560 ภายใต้กฎหมายเลือกตั้งฉบับใหม่ ‘ระบบจัดสรรปันส่วนผสม’ ที่สร้างโอกาสเกิดให้พรรคเล็กได้เก้าอี้ในสภาไปครอง อาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงขั้วการเมืองใหม่ในสนามเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้
   
          ส่วนที่ยังไม่เดินทางเข้ามาแจ้งจัดตั้งพรรคมีกลุ่มของ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย  ที่ยังย้ำจะรักษาสัจจะไม่รับตำแหน่งทางการเมือง และไม่ขอเป็นหัวหน้าพรรคหรือกรรมการบริหารพรรค ส่วนประชาชนจะสานเจตนารมณ์ กปปส.ถือเป็นสิทธิ  พร้อมสงวนท่าทีในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรค

 

    
          ทั้งนี้มองกันว่า สาเหตุหนึ่งที่นายสุเทพ ไม่เป็นแกนนำจัดตั้งพรรคการเมือง เนื่องจากอยู่ระหว่างต่อสู้คดีกบฏและก่อการร้าย กรณีการชุมนุมปิดกรุงเทพมหานคร เพื่อขับไล่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ระหว่างปี 2556-2557 รวมถึงกำลังเจรจา ‘ก๊วน’ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ แต่ถึงกระนั้นจุดยืนยังคงสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีต่อไป
   
          แต่ที่น่าสนใจ "ธนากร จึงรุ่งเรืองกิจ" รองประธานกรรมการบริหาร ไทยซัมมิท กรุ๊ป อาสาเข้ามาขับเคลื่อนประเทศชาติ โชว์จุดขาย คือการสร้างประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง หวังดึงพลังกลุ่มนักศึกษา คนรุ่นใหม่เป็นฐานเสียง และที่สำคัญยังเป็นหลานชายของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรมว.คมนาคม ยุครัฐบาลทักษิณ

          และที่น่าในใจมากกว่านั้นยังมีเหล่านักวิชาการจากมหาวิทยาลัยดังเข้าร่วม อย่าง นายปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มคณะนิติราษฎร์ เคยเคลื่อนไหวให้แก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่าด้วยการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เชื่อว่าพรรคนี้จะมีโอกาสได้ ส.ส.เข้ามานั่งในสภาแน่นอน
    
          “ระบบจัดสรรปันส่วนผสม จะทำให้เกิดมิติใหม่ทางการเมือง มีตัวแทนภาคประชาชนที่มาจากกลุ่มวิชาชีพต่างๆ เช่น กลุ่มสวนยางพารา กลุ่มสวนปาล์ม กลุ่มชาวนา กลุ่มชาวประมง กลุ่มเอ็นจีโอ ที่จะเข้าไปแย่งฐานเสียง และเป็นสิ่งที่พรรคใหญ่กลัวที่สุด” แหล่งข่าวหน่วยงานความมั่นคงระบุ

 

   
          ทั้งนี้ หน่วยงานความมั่นคงเชื่อว่าระหว่างนี้บริบททางการเมืองจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงวันเลือกตั้ง เนื่องจาก คสช.ยังไม่ปลดล็อกการเมือง ซึ่งนอกเหนือจากเหตุผลการดูแลรักษาความเรียบร้อยแล้ว คสช.ยังหวังสกัดนักการเมืองไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเลือกตั้งท้องถิ่นที่หวังจะผลักดันคนของตัวเองให้ได้ตำแหน่ง เพื่อเป็นหัวคะแนนในการเลือกตั้งระดับประเทศในอนาคต
    
          ในส่วนของเพื่อไทย แหล่งข่าวหน่วยงานความมั่นคงเชื่อว่าจะไม่ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลเหมือนเช่นที่ผ่านมา โดยตอนนี้ยังไม่มีการเคาะชื่อคนที่จะมาเป็นผู้นำ รวมทั้งพรรคเพื่อไทยยังมีบาดแผลทางการเมืองสมัยที่ครองอำนาจ ทำให้ทุกกลุ่มจ้องรุมกินโต๊ะ  ความไม่ชัดเจนตรงนี้เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้อดีตส.ส.ย้ายไปอยู่พรรคเล็ก เรียกว่าแยกกันเพื่อความอยู่รอดซึ่งก็จะมีสภาพเหมือนเป็น “พรรคนอมินี”
  
          “แนวโน้ม ส.ส.เพื่อไทย ย้ายพรรคมีจำนวนมาก เพราะต้องการเอาความชัวร์ในการเป็นส.ส. ให้จับตาในภาคเหนือ อีสาน โดย ส.ส.เขต ที่เดิมของพรรคอาจจะมี 3 คน ต่อไปคนที่ 1 ยังอยู่กับเพื่อไทย แต่คนที่อยู่อันดับ 2 และ 3 จะต้องปลีกตัวมาอยู่พรรคเล็กเพราะมีฐานเสียงเป็นของตัวเองอยู่แล้ว ซึ่งคะแนนส่วนนี้สามารถแปลงไปเป็นคะแนนในส่วนส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ได้” หน่วยงานความมั่นคง ระบุ
    
          อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่ชัดว่าพรรค ‘นอมินี’ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่จะมาตัดคะแนนพรรค ‘นอมินี’ คสช. คือพรรคไหนบ้าง
    
          แหล่งข่าวความมั่นคงวิเคราะในส่วนพรรคประชาธิปัตย์ มีผู้นำที่มาตามระบบชัดเจนคือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีพื้นฐานนักการเมืองโดยตรง ไม่ได้มาจากกลุ่มทุน แต่สภาวะมีแต่ถดถอย ทำงานการเมืองไม่เข้าถึงประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือและอีสาน ส่วนภาคใต้และภาคกลางเป็นฐานเสียงสำคัญ กำลังจะเสีย ส.ส.ให้พรรคนายสุเทพจำนวนหนึ่ง แม้จะไม่มากแต่นั่นอาจจะทำให้ประชาธิปัตย์เป็นพรรคไม่ถึง 100

 

   
          “นายสุเทพ เป็นนักการเมือง มีรากฐานในพรรคประชาธิปัตย์มานาน สมาชิกพรรคเป็นพวกเดียวกันมาก เป็นลักษณะความผูกพัน ในลักษณะกิจกรรมของนายสุเทพชัดเจนว่าจะเอาแบบไหน อย่างไร นอกจากนี้ยังทำธุรกิจ มีกลุ่มทุนของตัวเอง เช่น กลุ่มสวนยาง กลุ่มที่ดิน ฉะนั้นถึงบอกว่ามีผลโดยตรงหากต้องเสีย ส.ส.ไป แล้วประชาธิปัตย์จะหาคนมาทดแทนส่วนที่ขาดได้หรือไม่”  หน่วยงานความมั่นคง ระบุ
 
          ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้น หลายฝ่ายมองว่าเป็นความได้เปรียบของคสช.สามารถเจาะฐานเสียง 2 พรรคใหญ่แตก และใช้พลังของพรรคเล็ก ทั้งพรรคนายสุเทพ พรรคพลังชาติไทย ที่มี พล.ต.ทรงกลด ทิพย์รัตน์ ว่าที่หัวหน้าพรรค อดีตนายทหารประจำสำนักงานปลัดกลาโหม และอดีตคณะทำงานเตรียมการปฏิรูปเพื่อคืนความสุขให้คนในชาติ รวมถึงพรรคเกิดใหม่อื่นๆ ก็ไม่ได้เปิดกั้น พร้อมเปิดโอกาส พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย
    
          วันนี้ยังอีกยาวไกลที่จะบอกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนนอก และอาจเป็นแค่การตลาด หวังสร้างจุดสนใจให้พรรคตัวเอง เมื่อเวลานั้นมาถึงพรรคเหล่านี้อาจเปลี่ยนท่าทีไม่ยอมอยู่ใต้เงาพรางทหาร และที่สำคัญหากมีการเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ คนนอกจริง เจ้าตัวจะรับหรือไม่  หรือสุดท้ายแล้วทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย ต้องร่วมมือกันจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ 
   
          ที่คาดการกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย อะไรที่คิดว่าแน่อาจจะไม่แน่ !!