อ่างบัวแตก อีการ้อง น้องทองโผล่ “เหตุบังเอิญ” หรือ “ลางร้าย” ไม่เชื่อ หรือจะเชื่อ!
“นั่นปะไร” ใครเห็นข่าวนี้ต้องกล่าวแบบนี้ทุกราย ทั้งคนที่เชื่อว่างานนี้เป็นเรื่องอาถรรพณ์ ลางร้าย! และทั้งคนที่เชื่อว่าเรื่องบังเอิญเกิดขึ้นได้ แต่สังคมไทยจะไปทางนี้ไว้ก่อนทุกทีสิน่า!
กับข่าวล่าสุดช่วงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา หลังวันจ่าย และวาเลนไทน์ มาสู่วันไหว้ อันสำคัญ
จู่ๆ ที่ทำเนียบรัฐบาลได้เกิดเหตุการณ์รถยนต์ที่่ขับเข้ามาทำธุระในทำเนียบรัฐบาล เกิดไปถอยรถยนต์ชนเข้ากับอ่างบัวบริเวณหน้าตึกบัญชาการ 1 จนแตกเสียหาย
โดยภายหลังพบว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับรองผู้บังคับการที่ยืนยันว่าจะรับผิดชอบความเสียหายทั้งหมด
อย่างไรก็ดี เอาเข้าจริงคนไทยไม่ได้อยากรู้เรื่องนี้เท่าไหร่ แต่กลับมุ่งประเด็นที่ไปที่เรื่องลี้ลับมากกว่า เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่มีให้ฮือฮากันทุกรัฐบาลไทยก็ว่าได้!
ยุคบิ๊กตู่ว่าด้วยเรื่อง “รั่วๆ แตกๆ”
อย่างที่เห็นกันว่าครั้งนี้ชาวบ้านร้านตลาดวิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่วว่าเป็นสัญญาณลางร้าย บอกให้รู้ให้เตรียมใจไปถึงนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือเปล่า?
ถามทำไม คำตอบง่ายๆ เลย 1.เหตุเกิดในทำเนียบรัฐบาล ที่ทำงานของท่าน อันเป็นศูนย์บัญชาการทางการเมือง 2.อ่างบัวดังกล่าว จำได้มั้ย ช่วงต้นปีก่อน “บิ๊กตู่” ควักกระเป๋าซื้อเอง เพื่อนำมาปรับภูมิทัศน์ของทำเนียบ หลังจากที่ “อ่างบัวสี” 1 ใน 10 ใบที่ลุงตู่แกซื้อมาลงไว้ชุดแรก เกิดมารั่วไปเสียก่อน
ตอนนั้นชาวบ้านชาวเน็ตก็เม้าท์แตกกันไปแล้วว่า “ลางร้าย” มาเยือนแน่ๆ แต่ที่ดูสะเทือนกว่าคือ บิ๊กตู่นั่นแหละ เพราะอ่างบัวสีใบนั้นสนนราคาใบละ 5,000 บาท!
มาวันนี้ขนาดเพิ่งมีใบใหม่ไปพอข้ามปี ก็มีอันเป็นไปเสียอีก!!
3.ที่หนักคือยังมาเกิดเหตุเอาในวันไหว้บรรพบุรุษของเทศกาลตรุษจีนพอดี และเขาว่ากันว่าวันนี้ห้ามทำสิ่งของแตก ชำรุด เสียหายเด็ดขาด เพราะเป็น 1 ใน 12 ข้อที่ไม่เป็นมงคล!!!
แต่นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก! ไล่จากใกล้ไปไกล เฉพาะของบิ๊กตู่ยังมีอีก!!
จำได้มั้ยครั้งหนึ่งได้เกิดไฟไหม้หลังศาลพระภูมิ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบรัฐบาล เหตุเกิดเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2558 หรือหลังเข้ามาบริหารประเทศได้ไม่นาน
ปรากฏว่าเหตุเกิดจากที่มีคนมาจุดธูปเทียนเพื่อสักการะศาลพระภูมิ และศาลตายายตามปกติ โดยมีการจุดธูปกำใหญ่ แล้วนำที่เหลือไปเก็บรวมไว้กับธูปอีก 2 กำด้านหลังศาลพระภูมิ โดยไม่สังเกตว่าธูปยังดับไม่สนิท จนเกิดไฟลุกไหม้ขึ้นบริเวณด้านหลังของศาลพระภูมิ จนเจ้าหน้าที่และคนสวนดูแลต้นไม้ ต้องเข้ามาช่วยกันดับไฟ
และเช่นเคยที่จะได้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาในเรื่องความเชื่อ โชคลาง และอนาคตของรัฐบาล
ยุคยิ่งลักษณ์ ถึงขั้น “โค่น!"
ครั้งนั้นน่าจะยังมีคนจำได้มาก เพราะ “ต้นกระพี้จั่น” ที่อายุกว่า 40 ปี เกิดล้มครืนลงหน้ารังนกกระจอกเก่า ทำเนียบรัฐบาล
ทำให้คนไทยต่างพากันร่ำลือไปต่างๆ นานา ถึงอาถรรพณ์ลางร้าย กับรัฐบาลนายกรัฐมนตรีหน้าสวย
โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2555 หรือช่วงหลังจากที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางไปปฏิบัติภารกิจเยือนประเทศเยอรมนี และฝรั่งเศส ช่วงวันที่ 17-21 กรกฎาคม 2555
ซึ่งหลายคนระบุว่า คาดว่าเกิดจากสาเหตุที่ก่อนหน้านั้น 1 วัน มีฝนตกหนักและมีลมกระโชกแรงเป็นเหตุให้ต้นไม้หักโค่น
แต่สำหรับต้นกระพี้จั่นที่โค่นนั้น นับเป็นต้นไม้เก่าแก่มีอายุราว 40 ปี ความสูง 10 เมตร ใกล้ตึกนารีสโมสร การหักโค่นลงมาครั้งนั้นนอกจากจะยังความเสียดายไปยังผู้คนในทำเนียบเป็นอันมาก
แต่ก็คงไม่เท่าความฮือฮาที่เกิดถึงขึ้นเป็นปรากฏการณ์ว่า หนนี้ “ลางร้าย” มาเยือนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แน่แล้ว!!
อย่างไรก็ตามถ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์ อธิบายไม่ยากเลยว่า บริเวณโคนต้นมีเชื้อราผุกร่อนจนเป็นโพรงอาจเป็นสาเหตุทำให้ต้นไม้ดังกล่าวโค่นล้ม นั่นเอง
ยุคพี่มาร์ค มากกว่านี้มีอีกมั้ย?
ไล่ย้อนไกลไปอีกนิดถึงยุคของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดูเหมือนจะมีเหตุเกิดขึ้นหลายครั้งหลายครานับแต่นั่งเก้าอี้นายกฯ ในปี 2552 กันเลยทีเดียว
ครั้งแรกวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2552 อยู่ๆ มีฝูงกากว่า 20 ตัว บินว่อนและส่งเสียงร้องดังสนั่นอยู่ตรงข้ามห้องชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา
ตามมาด้วยวันที่ 19 สิงหาคม 2552 อยู่ๆ ช่วงกลางวันแสกๆ หรือเวลาประมาณ 13.30 น. ก็เกิดเหตุฟ้าผ่าลงมาที่ยอดตึกไทยคู่ฟ้า เสียงดังสนั่น พร้อมๆ กับที่บรรดาสัญญาณกันขโมยจากรถยนต์ที่จอดอยู่ภายในทำเนียบก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โชคดีที่ตอนนั้นหัวหน้ามาร์ค ไม่ได้นั่งทำงานอยู่ภายในตึก แต่กำลังเรียกรองผบ.ตร.ที่เหลือทั้งหมดมาพูดคุยแสดงวิสัยทัศน์ในตำแหน่งผบ.ตร.คนใหม่อยู่ที่สภา
แต่ก็ไม่พ้นที่่จะก่อเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากในบรรดาสื่อมวลชน และข้าราชการทำเนียบเหมือนเดิม
เนื่องจากในช่วงเวลานั้นสถานการณ์ทางการเมืองกำลังร้อนแรง ทั้งการถวายฎีกาของกลุ่มเสื้อแดงและกลุ่มเสื้อน้ำเงินที่เสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
ถัดจากนั้นราววันที่ 27 สิงหาคม ปีเดียวกัน เกิดมีกลิ่นเน่าเหม็นคล้ายซากสัตว์ตายโชยคละคลุ้งไปทั่วบริเวณอาคารผู้สื่อข่าวหลังใหม่
ปรากฏพบซากตัวเงินตัวทองขนาดใหญ่ ความยาวกว่า 2 เมตร ตายอยู่ในท่อระบายน้ำ ก็ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าจะเกิดเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทยอีกครั้งหนึ่ง
ยุคทักษิณ น้องทองเข้า หัวเสาแตก!!
ปิดท้ายกันที่ยุคของรัฐบาลที่เหมือนจะรุ่งเรืองที่สุดเพราะครองเสียงข้างมากถล่มทลายและเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอยู่ยาวนานจนครบสมัย แต่ก็ยังหนีไม่พ้นเรื่องราวชวนขนลุก!
เพราะบ่อยมากที่น้องทองจะหลุดเข้ามาให้เห็นอยู่เรื่อยๆ จนหลายคนเกือบจะเรียกว่าเป็นยุคน้องทองผยองเดชก็ไม่ปาน!
เช่น 9 ธันวาคม 2546 อยู่ๆ ตัวเงินตัวทองความยาวประมาณ 2 เมตร วิ่งขึ้นจากท่อระบายน้ำมุ่งหน้าไปยังตึกไทยคู่ฟ้าซึ่งเป็นห้องทำงานของนายกรัฐมนตรี
ผ่านมาจน 20 เมษายน 2548 หรือในยุคทักษิณ 2 ปรากฏว่าน้องทองตัวหนึ่งเกิดโผล่ขึ้นมาบริเวณร้านอาหารข้างลานจอดรถ
ผ่านมาจนวันที่ 21 มิถุนายน 2548 ยังมีน้องทองหลุดเข้ามาบริเวณโรงจอดรถประจำตำแหน่งนายกฯ และรองนายกฯ อีก
แต่ครั้งไหนก็ไม่เท่าครั้งที่หัวเสาทำเนียบหักสะบั้น โดยเกิดขึ้นระหว่างที่มีการชุมนุมของเครือข่ายพันธมิตรฯ พอดี
โดยเหตุเกิดจากลมได้พัดเต็นท์กันแดดภายในทำเนียบล้มทับหัวเสารั้วทำเนียบรัฐบาลต้นที่ 7 หักโค่นลงมา
และเช่นเคยที่ผู้คนจะพากันตั้งข้อสังเกตว่าเป็นลางร้ายและสัญญาณของการผลัดเปลี่ยนรัฐบาลที่ใกล้จะมาถึง
วันนั้นยังมีรายงานข่าวอีกว่าที่จริงเป็นวันเดินทางกลับเข้ามากทม. ของนายกฯ ทักษิณ แต่ก็ได้เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน แล้วบ่ายหน้าไปตระเวนสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใน จ.เชียงใหม่ และจ.ลำพูน ทั้งวันแทน
ซึ่งทำให้ตอกย้ำสิ่งที่เรารู้กันว่าอดีตนายกฯ ผู้นี้เป็นผู้ที่เชื่อเรื่องโชคลาง ฮวงจุ้ยที่สุดคนหนึ่ง!
และเหตุการณ์หัวเสาหักนี้ก็เกิดขึ้นในวันที่ 29 มีนาคม 2549 หรือก่อนที่เขาถูกโค่นล้มรัฐบาลในไม่กี่เดือนถัดมานั่นเอง!
นี่ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่ง หากจะเก็บทุกรายละเอียดเห็นจะพากันนอนไม่หลับ
ซึ่งมุมหนึ่งที่น่าสนใจก็คือทำไมคนไทยถึงมีความเชื่อเรื่องแบบนี้สุดลิ่มทิ่มประตู ถ้าไม่เพราะงมงายก็คงเพราะมันพิสูจน์มาแล้วหลายครั้งในทุกรัฐบาลหรือไม่
แต่ที่แน่ๆ ถัดจากอ่างแตกไม่นาน “บิ๊กตู่” จัดแจงให้คนเอาโคมแดง 6 คู่ หรือ “โคมเต็งลั้ง” มาติดตั้งบริเวณทางเข้าออกโดยรอบทำเนียบแล้วเสร็จสรรพ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยทำมาก่อน
โดยโคมนี้มีความหมายชี้นำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มองเห็นและเข้ามาช่วยให้คนในบ้านนั้นให้อยู่เย็นเป็นสุขรุ่งเรือง
ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ไม่รู้อย่าเดาสิ!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง