คอลัมนิสต์

“เสือดำทุ่งใหญ่” ความบริสุทธิ์ “สีนิล” !!

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

“เสือดำทุ่งใหญ่” ความบริสุทธิ์ “สีนิล” อย่าให้สิ้นศรัทธา กฎหมายผืนป่า!

           ไม่เพียงแค่กลุ่มอนุรักษ์ คนทั่วไปยังต้องอุทานว่า “ใจทำด้วยอะไร!!” และทันทีทีทราบข่าว คำถามเดียวกันคือ “เสือดำ" ที่ถูกฆ่า เป็นตัวไหน?

           เพราะคงจำกันได้กับเรื่องราวช่วงปีก่อนที่โลกออนไลน์ได้แชร์วิดีโอเสือดำตัวหนึ่งออกมาเล่นกล้องด้วยสายตาน่ารัก ไร้เดียงสา ไร้พิษภัย โดยระบุว่าเป็นเสือดำในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง จ.ตาก

และเมื่อโยงกับคำพูดของ “ดำรงค์ พิเดช” อดีตอธิบดีกรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ที่ชี้ว่าเสือดำที่ถูกฆ่าครั้งนี้อาจเป็นเสือดำตัวสุดท้ายที่เหลืออยู่!

ประกอบกับที่ ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าชุดพญาเสือ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยฯ ออกมาระบุว่า กรณีของเปรมชัยถือเป็นรายแรกในประวัติศาสตร์ที่เข้าไปฆ่าเสือดำ และนำมาปรุงเป็นอาหาร และเสือดำตัวนี้อาศัยอยู่บริเวณดังกล่าวมาโดยตลอด หลายคนสามารถถ่ายภาพไว้ได้ ซึ่งทำให้เข้าใจว่าชุดของนายเปรมชัย น่าจะรู้แหล่งที่อาศัยของเสือดำตัวนี้จึงตั้งใจเข้าไปฆ่า!

           ขณะที่นักวิชาการต่างออกมาชี้ว่า เสือคำผู้โชคร้ายตัวนั้นยังเป็นแค่ลูกเสือเท่านั้น

           หลายคนก็หวั่นใจว่าอาจจะเป็นน้องเสือตัวเดียวกัน!! และทำให้คนไทยยิ่งเดือดดาล และพากันเผยแพร่ภาพเสือน้อยตัวนั้นอีกครั้ง!

               “เสือดำทุ่งใหญ่” ความบริสุทธิ์ “สีนิล”  !!

ต้องเหี้ยม! เบอร์ไหน?

           อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นตัวเดียวกันหรือไม่ ทุกชีวิตไม่ควรต้องมาตายเช่นนี้ เช่นเดียวกันกับไก่ฟ้าหลังเทา และเก้ง ที่ต่างก็พบจุดจบด้วยน้ำมือคนกลุ่มเดียวกัน

           หากสำหรับ “เสือดำแห่งทุ่งใหญ่นเรศวร” ตัวนี้ ล่าสุดศูนย์พิสูจน์หลักฐานตรวจสอบแล้วพบว่ามันถูกยิงจากด้านหน้าจำนวน 5 นัด กระสุนเจาะที่หัวและลำตัว!

           โดยการตรวจสอบได้จำลองเหตุการณ์ยิงด้วยการนำซากเสือดำ มาพาดบนไม้คล้ายเสือยืน เพื่อหาวิถีกระสุน กระทั่งพบว่าผู้ยิงยืนอยู่สูงกว่าเสือซึ่งน่าจะเป็นมืออาชีพ เพราะอาวุธที่ใช้เป็นปืนไรเฟิลที่กลุ่มนักล่าสัตว์นิยมใช้กันอย่างกว้างขวาง

           สำหรับรอยกระสุน 5 นัดนั้นเข้าที่บริเวณใบหูฝั่งขวา 1 นัด หัวกะโหลก 1 นัด และลำตัว 3 นัด และจากวิถีกระสุน คาดว่าผู้ยิงน่าจะอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าเสือดำ โดยทิศทางของกระสุนทำมุม 30 องศา ยิงจากด้านหน้าผ่านไปด้านหลัง

           ขณะเดียวกันเมื่อวิเคราะห์ตามรายงานข่าวที่ อนุวงศ์ ศรีจันทร์ เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่ ออกมาเล่าถึงเหตุการณ์ก่อนพบซากเสือดำ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อค่ำวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ยิ่งทำให้คนไทยใจหาย!

           อนุวงค์ เล่าว่าหลังได้รับแจ้งจึงพากันเข้าไปตรวจสอบจนเมื่อขับรถเข้าไปใกล้ มีเสือดำตัวหนึ่งวิ่งนำหน้ารถก่อนหายไป

           จากนั้นเมื่อตรวจสอบต่อไปก็ต้องผงะ เมื่อพวกเขาได้พบซากเสือดำ จึงสันนิษฐานว่าเสือดำตัวดังกล่าวน่าจะเป็นคู่ของเสือที่ตาย เมื่อเห็นคู่ตายจึงตกใจวิ่งหนีกระสุน

           ทั้งนี้พวกเขาเคยเห็นเสือดำคู่นี้มาก่อนหน้านี้หลายครั้ง และครั้งนี้เหมือนเสือตัวดังกล่าวจะมาบอกอะไร กระทั่งตรวจค้นจนไปเจอหม้อต้มใกล้เต็นท์ เมื่อเปิดดูพบหางเสือดำต้มคล้ายซุปหางวัว แต่เป็นซุปเสือดำ!!

           ขณะที่เจ้าสัวแสนล้านที่นั่งอยู่ใกล้กันไม่พูดอะไรเลย และจากการแล่เสือ เจ้าหน้าที่ยังระบุว่าผู้แล่นับว่าเป็นระดับมืออาชีพ เพราะแล่แบบไม่ขาดออกจากกันเลยแม้แต่น้อย!

รู้จัก “เสือดำ” นักล่าผู้น่ารัก

             “เสือดำทุ่งใหญ่” ความบริสุทธิ์ “สีนิล”  !!

                                                                   (เสือดำ อุ้มผาง)

           จากเหตุการณ์ข้างต้นน่าคิดว่าสำหรับผู้ล่ารายนี้แล้ว พวกเขาอาจมองเสือดำ โดยเห็นเพียงแต่เนื้อและหนัง

           เนื่องจากว่ากันว่าเหตุที่เสือชนิดนี้เป็นที่ต้องการในหมู่นักล่าสัตว์ป่าก็เพราะนอกจากเป็นสัตว์ที่ตัวไม่ใหญ่มาก น้ำหนัก 50–60 กก. ซึ่งทำให้เคลื่อนย้ายและจัดการซากได้ไม่ยากแล้ว

           มันยังมีหน้าตาที่น่ารัก มีลายจุดขยุ้มบนหนังสีน้ำตาล เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนเสือตัวอื่น ทำให้สวนสัตว์ทั่วโลกอยากมีไว้โชว์

           นอกจากนี้ในกลุ่มหนึ่งยังเชื่อกันว่าสีที่ผิดเพี้ยนเป็นสีดำนั้นจะเป็นยาโป๊ ชูกำลังชั้นดี โดยเสือ 1 ตัวกินได้ทั้งเนื้อ หนัง เขี้ยว เล็บ และ “ตัวเดียวอันเดียว” ของเสือก็มีราคาแพงอย่างน่าตกใจ!

           หากสำหรับคนทั่วไปแล้วทุกคนน่าจะมองเห็นแต่แววตาใสซื่อบริสุทธิิ์มากกว่าที่จะต้องถูกล่า และฆ่าแกงแบบนี้!

           ซึ่งถ้าจะพูดถึงผืนป่าโซนบ้านเรา สัตว์ตระกูล “เสือ” น่าจะถือเป็น “เจ้าป่า” ผู้ล่าสูงสุดแล้วของระบบนิเวศ แต่หลายคนยกให้ “เสือโคร่ง” เป็นเจ้าป่า เนื่องจากมีลำตัวที่ใหญ่กว่ามาก

              “เสือดำทุ่งใหญ่” ความบริสุทธิ์ “สีนิล”  !!

        ส่วนเสือดาวและเสือดำถือเป็น “สายลับนักล่า” แห่งพงไพร ด้วยความปราดเปรียว และผิวหนังสีดำขลับดูลึกลับ

           อย่างที่เห็นว่า “เสือดำ” มีสีดำงดงามตลอดทั้งลำตัว แต่ที่จริงแล้ว สีดำนี้เกิดจากความผิดปกติในเม็ดสี ที่เรียกว่าเมลานิซึม แต่หากสังเกตดีๆ จะพบว่ามันยังมีลายด่างๆ หรือลายจุดคงอยู่ จนเมื่อออกแดดจึงจะสามารถเห็นได้ชัดเจน

           อย่างไรก็ดีที่จริงแล้วมันก็เป็นครอบครัวเดียวกับเสือดาว (Leopard) ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในวงศ์เสือและแมว (Felidae) และพบมากในป่าดิบชื้น ทวีปเอเชีย เช่น อินเดีย เนปาล เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในเบงกอล หรือชวา

           ส่วนที่บ้านเราพบได้ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ห้วยขาแข้ง และอุ้มผาง ซึ่งบ่อยครั้งที่เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า สามารถบันทึกภาพวิดีโอของเสือดำจากกล้องดักถ่ายไว้ได้

           นอกจากนี้ข้อมูลยังระบุว่าเสือดำนั้นทั้งโลกแล้วเหลืออยู่อีกไม่เกิน 2 พันกว่าตัวเท่านั้น ส่วนในไทยน่าจะเหลือประมาณ 100 กว่าตัวเท่านั้น!

นักล่าหน้าคน กฎหมายต้องศักดิ์สิทธิ์!!

           ไม่น่าเชื่อว่าเหตุการณ์เจ้าสัวจับเสือหนนี้กลับเหมือนเป็นการเปิดฉากท้าทายทำลายสิ่งที่เป็นที่สุดแห่งการควรหวงแหนไปอย่างไม่สะทกสะท้าน

           ไม่ว่าจะเป็นคุณค่าที่เสือดำถูกบรรจุเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 และ IUCN ได้ให้สถานภาพการอนุรักษ์ไว้ในระดับ “สีแดง” คืออยู่ในสถานะ "สัตว์ป่าที่มีความเสี่ยงขั้นอันตรายต่อการสูญพันธุ์”

           และคุณค่าแห่งความเป็น “เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร” ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนร่วมกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง

         “เสือดำทุ่งใหญ่” ความบริสุทธิ์ “สีนิล”  !!

           โดยองค์การยูเนสโกให้เป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติของประเทศไทย ภายใต้ชื่อ “เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง” เมื่อปี 2534

           ครอบคลุมพื้นที่ 6 อำเภอของ 3 จังหวัด คือ อุทัยธานี กาญจนบุรี และตาก มีเนื้อที่กว่า 4 ล้านไร่มีความอุดมสมบูรณ์ และมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงที่สุด!

           สามารถรองรับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ หรือหาได้ยากในประเทศไทยมากมาย อาทิ ช้างป่า วัวแดง กระทิง เสือโคร่ง เสือดาว เสือดำ เสือลายเมฆ รวมไปถึงสมเสร็จ เป็นต้น

           ทั้งหมดนี้กลับถูกคนกลุ่มหนึ่งฉีกเป็นชิ้นๆ ภายในกระสุนไม่กี่นัด!

           อย่างไรก็ดีเมื่อก้าวผ่านความโกรธและเสียใจไปแล้วสิ่งที่ทุกคนเรียกร้องให้เกิดขึ้นจริงจัง คือการดำเนินการทางกฎหมายกับผู้กระทำผิด!!

           และในที่สุดจากวาทกรรม “อย่าเพิ่งปรักปรำใคร” เมื่อเห็นกระแสสังคมที่ทั้งหน้าข่าวสารและโลกออนไลน์ที่ไม่ยอมจบเรื่องนี้ง่ายๆ

           ช่วงวันพฤหัสบดีที่ 8 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา “บิ๊กเต่า” หรือ พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะประธานคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติ จึงเรียกประชุมใหญ่หลายฝ่าย

           แต่สำหรับวาระพิเศษ คือ การติดตามการดำเนินคดีกับเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารบริษัทอิตเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนท์ จำกัด มหาชน พร้อมพวก น่าจะเป็นที่สนใจของสังคมมากที่สุด!!

           และสุดท้ายในเบื้องต้นได้รับคำยืนยันจาก “บิ๊กเต่า” ว่านโยบายคือรัฐมนตรีประกาศสนับสนุนการเอาผิดอย่างเต็มที่หลังจากได้รับข้อมูลรายละเอียดทุกอย่าง

           พร้อมประกาศว่าจะมีการตั้งคณะกรรมการพิเศษเพื่อติดตามการดำเนินคดีนี้เป็นการเฉพาะ และจะดำเนินการไปจนสิ้นสุดคดีในชั้นศาลฎีกา ถึงแม้จะใช้ระยะเวลาหลายปีก็ตาม เพื่อให้เป็นมาตรฐานในการอนุรักษ์และคุ้มคองสัตว์ป่าในพื้นที่หวงห้าม

           ก็เชื่อว่าน่าจะต่อสู้กันยาวเพราะอีกฝ่ายอย่างที่รู้กันว่าไม่ใช่ตาสียายสาที่เข้าไปเก็บของป่า! แต่เป็นระดับเจ้าสัวบิ๊กเนม!

(อ่านข่าวเกี่ยวข้อง) เปิดใจ “วิเชียร ชินวงษ์” หัวหน้าชุดจับกุม "เปรมชัย"

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ