คอลัมนิสต์

ชำแหละ 9 ข้อหา “คนรวยล่าสัตว์ป่า” ส่อลอยนวล!

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ชำแหละ 9 ข้อหา “คนรวยล่าสัตว์ป่า” ส่อลอยนวล! : โดย... ปกรณ์ พึ่งเนตร

 

          มีประเด็นขยายต่อเนื่องจากคดี “จับบิ๊กวงการก่อสร้าง” กลางทุ่งใหญ่นเรศวร เป็นข้อมูลที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า กฎหมายที่จะเอาผิด “คนล่าสัตว์” โดยเฉพาะกลุ่มคนร่ำรวยหรือมีสถานะสูงทางสังคมได้จริงหรือ

          ขณะเดียวกันก็มีการแชร์คลิปลับ เป็นเสียงพูดคุยของบุคคลที่เชื่อกันว่าเกี่ยวข้องกับการจับกุม “บิ๊กวงการก่อสร้าง” กลางทุ่งใหญ่นเรศวร เนื้อหาในคลิปนอกจากจะเป็นการต่อรองให้เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือเพื่อแลกกับสิ่งของที่ต้องการ ซึ่งจะนำใส่รถบรรทุกมามอบให้แล้ว ยังมีเสียงที่พูดทำนองว่า “ให้หาผู้ใหญ่มาคุย เพราะกฎหมายมีช่องโหว่” รวมอยู่ด้วย สะท้อนให้เห็นว่าการดำเนินคดีเกี่ยวกับการล่าสัตว์ป่าสงวนหรือสัตว์ป่าคุ้มครองนั้น มีช่องโหว่ช่องว่างทางกฎหมายให้ผู้ถูกกล่าวหารอดพ้นความผิดได้เหมือนกัน

 

ชำแหละ 9 ข้อหา “คนรวยล่าสัตว์ป่า” ส่อลอยนวล!

 

          นอกจากนั้นยังมีการแชร์ภาพจากเพจเฟซบุ๊กชื่อดัง เป็นหลักฐานมัดว่า “บิ๊กวงการก่อสร้าง” เคยเข้าป่าบ่อยๆ ไม่ใช่เพิ่งเข้าไปครั้งแรกแล้วโดนจับ ซึ่งก็สอดคล้องกับข้อมูลของ “คนวงใน” ที่ “ล่าความจริง” ได้พูดคุยมา ยืนยันว่า “บิ๊กวงการก่อสร้าง” และ “นายพรานคู่ใจ” เคยเข้าไปตั้งเต็นท์พักแรมในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ามาแล้วหลายครั้ง ซึ่งหากมีพฤติการณ์เข้าไปล่าสัตว์เหมือนครั้งนี้ ก็หมายความว่าที่ผ่านมายังไม่เคยถูกจับกุมเลยสักครั้ง

          ย้อนไปดูข้อหาที่พนักงานสอบสวน สภ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี แจ้งความดำเนินคดีกับ “บิ๊กวงการก่อสร้าง” ล่าสุดแจ้งไว้ 9 ข้อหา  จะพบว่าข้อหาที่แจ้งกับ “บิ๊กวงการก่อสร้าง” กับพวก แยกใหญ่ๆ ได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
          กลุ่มที่ 1 ความผิดตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า กลุ่มนี้มี 7 ข้อหา
          กลุ่มที่ 2 ความผิดตามพ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ กลุ่มนี้มี 1 ข้อหา
          กลุ่มที่ 3 ความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน

          จะเห็นได้ว่าข้อหาในกลุ่มที่ 2 เป็นข้อหา “เก็บหาของป่า” ไม่ได้เกี่ยวกับการล่าสัตว์ และจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ชัดเจนว่าคณะของ “บิ๊กวงการก่อสร้าง” เข้าไปเก็บหาของป่าด้วยหรือไม่ แม้โทษจำคุกจะกำหนดไว้กว้างๆ คือ 6 เดือนถึง 5 ปี แต่ข้อหานี้ตามกฎหมายพ่วงกับข้อหาบุกรุกแผ้วถางป่า ฉะนั้นถ้าเก็บของป่าอย่างเดียวน่าจะมีโทษสถานเบา

 

ชำแหละ 9 ข้อหา “คนรวยล่าสัตว์ป่า” ส่อลอยนวล!

 

          ส่วนข้อหาในกลุ่มที่ 3 ความผิดตามพ.ร.บ.อาวุธปืน ตำรวจยังไม่แจ้งข้อหาชัดๆ ว่าผิดมาตราไหน เพราะต้องรอผลตรวจอาวุธปืนที่ยึดได้ก่อนว่าเป็นของใคร

          ฉะนั้นข้อหาที่ดูแล้วน่าจะมีผลในทางคดีและน่าจะเอาผิดได้ คือ 7 ข้อหาแรก ซึ่งทั้งหมดบัญญัติไว้ในพ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า แต่พอเจาะลึกลงไปดูในรายละเอียดจริงๆ จะพบว่าข้อหาที่ตั้งไว้มุ่งเอาผิดพฤติกรรม 3 อย่าง คือ ล่าสัตว์และพยายามล่าสัตว์ป่า ครอบครองซากสัตว์ป่า และเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่พฤติกรรมหลังสุดนี้ไม่มีโทษอาญา ฉะนั้นเราจึงตัดออกไป

          สรุปแล้วข้อหาที่น่าจะมีผลจริงๆ มี 6 ข้อหา 2 พฤติกรรม คือ ล่าสัตว์หรือพยายามล่าสัตว์ป่า และครอบครอง หรือซ่อนเร้น รับไว้ ซึ่งซากสัตว์ป่าปัญหาในการดำเนินคดี หรือจะเรียกว่า “ช่องโหว่ของกฎหมาย” อยู่ตรงนี้ คือการจะเอาผิดฐาน “ล่าสัตว์ป่า” ต้องย้อนไปดูนิยามของคำว่า “ล่า” ตามกฎหมายสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าเสียก่อน

          กฎหมายบัญญัติไว้ในมาตรา 4 คำว่า “ล่า” หมายถึง “เก็บ ดัก จับ ยิง ฆ่า หรือทำอันตรายด้วยประการอื่นใดแก่สัตว์ป่าที่ไม่มีเจ้าของและอยู่เป็นอิสระ และหมายความรวมถึงการไล่ การต้อน การเรียก หรือการล่อเพื่อการกระทำดังกล่าวด้วย”

          คำถามคือ เจ้าหน้าที่มีพยานรู้เห็นขณะที่ “บิ๊กวงการก่อสร้าง” ล่าสัตว์ป่าหรือไม่ ซึ่งหมายถึงเห็นขณะดัก จับ ยิง ฆ่า เพราะตามข่าวรายงานว่า ตอนที่เจ้าหน้าที่เข้าไป เจอแต่ซากสัตว์ป่าที่ชำแหละแล้ว

          นี่คือ “ช่องโหว่” ของกฎหมายที่ “ผู้เชี่ยวชาญ” ซึ่งก็เป็นคนในกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชให้ข้อมูลมากับ “ล่าความจริง” ด้วยตนเอง ว่าถ้าจะเอาผิดคนล่าสัตว์ต้องมีพยานเห็นขณะ “ล่า” หรือไม่ก็ต้องมีพยานแวดล้อมยืนยันชัดเจน เช่น กระสุนปืนที่ฝังในตัวสัตว์มาจากปืนในความครอบครองของผู้ต้องหา อย่างนี้เป็นต้น คำถามคือ เจ้าหน้าที่มีหลักฐานแบบนี้หรือเปล่า

 

ชำแหละ 9 ข้อหา “คนรวยล่าสัตว์ป่า” ส่อลอยนวล!

 

          ส่วนความผิดฐาน “ครอบครองซากสัตว์ป่า” ผู้ต้องหาอาจต่อสู้ว่า “ไม่ได้ครอบครอง” คือไม่ใช่ซากสัตว์ของตน แต่ซื้อหรือได้รับมาจากคนอื่น เพื่อมาแล่เนื้อรับประทาน (ผอ.ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าชุดพญาเสือ ที่ลงพื้นที่ไปทำคดีนี้เองด้วย ก็ให้ข้อมูลกับ “ล่าความจริง” ว่าคณะของ “บิ๊กวงการก่อสร้าง” อ้างว่าซากสัตว์ที่พบมีไว้เพื่อแล่เนื้อทำอาหาร)

          เมื่อไม่ได้ครอบครองก็อาจจะรอดพ้นความผิดที่มีโทษจำคุกสูงสุด 4 ปี สุดท้ายอาจผิดแค่ “รับไว้ซึ่งซากสัตว์ป่า” มีโทษจำคุกสูงสุด 1 ปีเท่านั้น ที่สำคัญโทษจำคุกต่ำกว่า 5 ปี ศาลสามารถใช้ดุลพินิจ “รอลงอาญา” ได้อีกด้วย

          แบบนี้หรือเปล่าจึงเป็นที่มาของ “คลิปเสียงปริศนา” ที่กำลังแพร่หลายในโซเชียลขณะนี้ กับคำพูดที่ว่า “กฎหมายมีช่องโหว่ ให้ผู้ใหญ่มาคุยก็จบ”     

.....................................................
ข่าวที่เกี่ยวข้อง 
อุดช่องโหว่กฎหมาย...ดัดหลัง “คนรวยไม่รักสัตว์”




   

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ