(ขยายปมร้อน) ประชาธิปไตยไทยนิยม หรือ “ประชาธิปไตยแบบตามใจฉัน”
“เราจะต้องมีประชาธิปไตยแบบไทยนิยม ซึ่งจะต้องเป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ” นี่คือท่อนหนึ่งของโอวาทของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มีต่อเด็กๆ เนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติเมื่อวันที่ 13 มกราคม ที่ผ่านมา
ทันทีที่ได้ยินคำกล่าวของนายกฯ หลายคนก็สงสัยว่า “ประชาธิปไตยไทยนิยม” คืออะไร เพราะนี่คือวาทกรรมใหม่สำหรับคำว่า “ประชาธิปไตย” ที่เกิดขึ้นภายใต้การปกครองในระบอบทหารดังที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ และเคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในชื่อ “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ” มาแล้ว
แม้นายกฯ จะอธิบายขยายความว่า คำว่า ประชาธิปไตยไทยนิยม" คือ "คนไทยเข้าใจประชาธิปไตยที่ถูกต้อง โดยทุกคนมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกันจึงจะเกิดผลดีต่อบ้านเมือง” แต่ยังมีคำถามตามมาอีกมากมายว่า “ไทยนิยม” คืออะไร และประชาธิปไตยที่ถูกต้องของนายกฯ หมายถึงอะไร
หากเปิดพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานฉบับ พ.ศ.2554 จะพบความหมายของ “นิยม” ว่า (แบบ) น. การกําหนด. (ป. ส.). ก. ชมชอบ ยอมรับนับถือ ชื่นชมยินดี ถ้าใช้ประกอบท้ายคําสมาสบางคํามีความหมายว่า ลัทธิ เช่น ชาตินิยม สังคมนิยม
ซึ่งคำว่า “ไทยนิยม” น่าจะหมายถึง “ลัทธิความเป็นไทย” จึงมีคำถามต่อไปว่า “ประธิปไตยแบบลัทธิของความเป็นไทย” คืออะไร และน่าสนใจเข้าไปอีกว่า ความเป็นไทยจริงๆ แล้วหรือแบบไหน หรือความเป็นไทยแบบไหนที่ผู้มีอำนาจต้องการกันแน่
เอาเข้าจริงคำว่าประชาธิปไตยนั้นเป็นการปกครองแบบสากล โดยมีความหมายว่า “การปกครองที่ประชาชนเป็นใหญ่ และถือมติเสียงข้างมาก” นอกจากนี้ยังมีนิยามว่า ระบอบการปกครองซึ่งการบริหารอำนาจรัฐมาจากเสียงข้างมากของพลเมืองผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยโดยพลเมืองอาจใช้อำนาจของตนด้วยตนเองหรือผ่านผู้แทนที่เลือกไปใช้อำนาจแทนก็ได้
ดังนั้น “ประชาธิปไตย” ไม่ว่าจะในความหมายหรือนิยมแบบไหนจึงมีหลักการที่ว่า อำนาจการบริหารประเทศต้องมาจากประชาชนที่ถือเป็นเจ้าของอำนาจ ซึ่งเป็นหลักการสำคัญ อันมิอาจละเลยได้ หากปราศจากซึ่งหลักการนี้โดยมิให้ประชาชนผู้ที่เป็นเจ้าของอำนาจสามารถแสดงเจตจำนงแห่งการบริหารได้ เมื่อนั้นก็ย่อมมิใช่ประชาธิปไตย
ส่วน “ประชาธิปไตยไทยนิยม” หรือ “ประชาธิปไตยแบบไทย” ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาโดยนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันแม้จะยังไม่มีคำจำกัดความที่ชัดเจน แต่จากที่ผ่านๆ มาจะเห็นได้ว่าที่รัฐบาลต้องการคือประชาธิปไตยที่ไม่มีความขัดแย้ง ประชาธิปไตยที่ผลการเลือกเป็นอย่างที่พวกเขาต้องการ โดยโยนความผิดไปที่ความไม่พร้อมของประชาชนและความบกพร่องของนักการเมือง
ดังนั้นประชาธิปไตยแบบไทยๆ คือ เสรีในระดับหนึ่ง และมีการบังคับควบคุมเพื่อให้ไม่เกิดความผิดพลาดตามมุมมองของผู้ที่สมาทานความเป็นเจ้าของประชาธิปไตย และสมาทานความเป็นตัวแบบของ “ไทย” โดยไม่ให้เกิดความขัดแย้ง รวมทั้งไม่ต้องการให้เกิดการบริหารประเทศไปในทางที่ตนไม่ต้องการจึงต้องสร้างระบบควบคุมรัฐบาลที่เป็นตัวแทนของอำนาจประชาชน
เอาเข้าจริงหลักการประชาธิปไตยนั้นไม่ยากไม่เย็น และเป็นหลักการที่ได้รับการยอมรับแบบสากล กล่าวคือมีการเลือกตั้ง ให้ประชาชนแสดงเจตจำนงเลือกผู้ที่จะมาบริหารประเทศด้วยตัวเอง และเมื่อครบ 4 ปี ก็มีการทบทวนว่าจะให้เป็นต่อหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีระบบการแบ่งแยกอำนาจชัดเจนระหว่างฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และ ตุลาการ มีการตรวจสอบมีการถ่วงดุล แต่หลักการสำคัญคือต้องให้อำนาจประชาชนเป็นใหญ่
หากทำตามหลักการง่ายๆ นี้ ก็ย่อมไม่มีปัญหาใดๆ แต่รัฐบาลและอำนาจที่เกิดจากระบอบประชาธิปไตยนั้น มักจะทำให้เกิดผลอันไม่พึงประสงค์กับคนบางกลุ่ม ดังนั้นพวกเขาจึงต้องออกแบบการปกครองให้เป็นสิ่งที่ตัวเองต้องการ แต่ครั้นจะปฏิเสธระบอบประชาธิปไตยก็ทำไม่ได้ เพราะย่อมจะทำให้เกิดกระแสต่อต้านอันเนื่องมาจากขัดความต้องการของคนส่วนมาก
ดังนั้นจึงมีการหาทางยกเว้นหลักการสำคัญของประชาธิปไตยบางอย่างเพื่อให้เกิดผลตามที่ประสงค์
ซึ่งเปรียบเท่ากับการนำเสื้อคลุมประชาธิปไตยมาห่อหุ้มระบอบการปกครองเพื่อตนเอง และผลิตวาทกรรมเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเองไม่ว่าจะเป็น “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ” หรือ “ประชาธิปไตยไทยนิยม” แต่ทั้งหมดทั้งมวลล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐาน การยกเว้นหลักการสำคัญเพื่อประโยชน์บางอย่างตามแต่ที่ใจตัวเองปรารถนา และที่สำคัญคือการกระทำเช่นนี้เปนการผูกขาดและปลูกฝังแนวคิดอันละเลิกหลักการสำคัญว่าเป็นแบบของ “ไทย” ตามคำที่มีผู้กระทบกระแทกเอาไว้ไว่า “ทำอะไรตามใจคือไทยแท้”
ถึงนาทีนีก็ได้แต่ภาวนาว่าขออย่าให้“ประชาธิปไตยแบบสากล” ต้องกลายเป็นประชาธิปไตยแบบ “ตามใจฉัน”
โดย อรรถยุทธ บุตรศรีภูมิ คมชัดลึกออนไลน์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง