คอลัมนิสต์

“บิ๊กตู่” ประกาศเป็น “นักการเมือง” สถาปนาตัวเป็น “นายใหม่”

“บิ๊กตู่” ประกาศเป็น “นักการเมือง” สถาปนาตัวเป็น “นายใหม่”

11 ม.ค. 2561

“บิ๊กตู่” ประกาศเป็น “นักการเมือง” สถาปนาตัวเป็น “นายใหม่” ดูดคน “พท.-ปชป.” หนุน (คอลัมน์ :ขยายปมร้อน ทาง หนังสือพิมพ์คมชัดลึก)

เป็นเพราะวาจาที่ "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. เคยลั่นไว้หรือไม่ว่า จะประกาศเลือกตั้งในเดือนมิถุนายน 2561 และวันเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2561 ทำให้เจ้าตัวตัดสินใจประกาศศักดา ข้าคือ “นักการเมือง” ถือเป็นการกลืนน้ำลายตัวเองอึกใหญ่ เพราะที่ผ่านมา เจ้าตัวปฏิเสธ และดูจะรังเกียจคำนี้มาโดยตลอด

การเลือกประกาศตัวเป็น “นักการเมือง” ตั้งแต่เปิดศักราชใหม่ 2561 มีเหตุผลที่ค่อนข้างมีน้ำหนักที่ทำให้เชื่อได้ข้อหนึ่งว่า “บิ๊กตู่” มั่นใจในกองหนุน โดยเฉพาะจากฟากฝั่งทางการเมือง จากเดิมที่สังคมเคยรับรู้กันมาตลอดว่ามีเฉพาะกลุ่มกปปส. กับพรรคภูมิใจไทย ที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับหัวหน้าคสช. และบิ๊กๆในคสช.

มาวันนี้จำนวนกองหนุนดูจะเพิ่มขึ้นตลอดเวลา ภาพการพบกันระหว่างลงพื้นที่ กับพลพรรค “ชาติไทยพัฒนา” ที่สุพรรณบุรี การพบกับแกนนำ “มัชฌิมา” ที่สุโขทัย หรือแม้แต่ภาพการพบกันกับพี่น้องตระกูล “สะสมทรัพย์ ” เจ้าของพื้นที่เมืองนครปฐม แห่ง “พรรคเพื่อไทย” ก็คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญตามที่กล่าวอ้าง

นี่ยังไม่นับดีลทางการเมืองในทางลับ ไม่รู้มีความพยายามกล่อมขุนพลขั้วตรงข้ามมาเป็นพวกอีกเท่าไหร่ โดยเฉพาะบรรดาเด็กในคาถา “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร ในภาคเหนือและอีสาน หลังต้องห่อเหี่ยวนับตั้งแต่รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ท่อน้ำเลี้ยงไม่ไหลลื่นเหมือนก่อน

หลายคนคงคิดว่า คสช.น่าจะอยู่ไม่นาน 1-2 ปี คงเก็บข้าวเก็บของเลิกลิเกโรงใหญ่ กลับไปเลี้ยงหลาน แต่ที่ไหนได้ จนถึงวันนี้กำลังก้าวเข้าสู่ปีที่4 ใกล้จะครบเทอมแรกของการเป็นรัฐบาลแล้ว!!! และมีทีท่าว่าจะอยู่ต่อไปอีก มากกว่าสมัยเดียวแน่นอน

เมื่อหันไปสำรวจความพร้อมของพรรคใหญ่ อย่าง “เพื่อไทย” และ “ประชาธิปัตย์” ท่ามกลางเงื่อนไขใหม่ ความไม่ชัดเจนต่างๆ ย่อมมีให้เห็น ความรู้สึกของพรรคเก่าแก่ที่สุดของประเทศ อย่าง “ประชาธิปัตย์” ที่ช่วงหลังดูจะไม่แฮปปี้กับ “คสช.” อย่างเห็นได้ชัด ไม่นับเรื่องความสมัครสมานสามัคคีภายใน ที่อาจไม่ปึ๊กเท่าที่ควร ทีม “พี่มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค “น้าชวน หลีกภัย” ประธานที่ปรึกษาพรรค ยังไงก็ยังยืนยันหลักการณ์ในระบอบประชาธิปไตย

ทว่าสถานการณ์วันนี้ ลูกพรรคจะเอาด้วยสักกี่น้ำ เพราะเดินตามนายหัวตั้งหลายคน สู้มาก็หลายสมัย มีแต่แพ้คู่แข่งตั้งแต่ “ไทยรักไทย” “พลังประชาชน” จนมาเป็น “เพื่อไทย”

“แว่วๆ มาว่า บิ๊กเนมระดับมันสมองของประชาธิปัตย์บางคนถึงกับบ่นอุบ วันนี้นโยบายด้านต่างๆ ของพรรคยังไม่ได้คิด ได้ทำอะไรขึ้นมาเป็นเรื่องเป็นราว แต่หลายคนกลับจ้องเก้าอี้รัฐมนตรีกันเสียแล้ว” !!!

ถ้าเป็นจริงตามนั้น ดูเหมือนคนยี่ห้อ “ประชาธิปัตย์” จะมั่นใจว่าจะชนะเลือกตั้งภายใต้กติกาคสช. จนสามารถเป็นพรรคเบอร์หนึ่งจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างนั้นหรือ

หรือไม่แน่ว่า การที่หลายคนของ “ประชาธิปัตย์” ประกาศกันภายในเรื่องจองเก้าอี้รัฐมนตรีนั้น คงตัดสินใจเลือกแล้วว่าจะมาอยู่กับพรรคที่หนุน “บิ๊กตู่” เป็นนายกรัฐมนตรีก๊อกสอง หรือนายกฯ คนนอก เต็มตัว!!!

ส่วนฝั่ง “เพื่อไทย” ที่ยังไม่รู้จะจัดทัพอย่างไร หรือ “นายใหญ่” จะมอบใครให้ถือธงนำสู้ศึก “เลือกตั้ง” ที่กำลังจะมาถึง และอย่างที่เห็นกัน “แม่ทัพปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ชิงเผ่นแน่บไม่มาฟังคำพิพากษาคดีไม่ระงับยับยั้งความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว และเพิ่งปรากฎภาพเจ้าตัวโผล่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

“เดอะอ๋อย” จาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำเพื่อไทย ประกาศชัดถ้อยชัดคำ หลัง “บิ๊กตู่” ประกาศตัวเป็นนักการเมือง ว่า “ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ ได้เป็นนายกฯ คนนอก ผมมั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยจะเป็นฝ่ายค้านอย่างแน่นอน”

ไม่รู้ว่าไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าพลพรรคเพื่อไทยจะเอาด้วยกับเดอะอ๋อยทั้งหมด ใครจะไปรู้ว่าขุนพลทางเหนือหรือในแถบอีสานบางคนอาจตกปากรับคำ หนุนบิ๊กตู่ ไปแล้วก็ได้

อย่าลืมว่า ระบบการนับคะแนนใหม่ตามรัฐธรรมนูญ ปี 2560 จะส่งผลให้ไม่มีพรรคใดได้คะแนนเลือกตั้งมากเหมือนครั้งที่ผ่านมา จนสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ ข้อนี้หลายพรรคต่างรับรู้กันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะ “เพื่อไทย” และต้องไม่ลืมว่าในวาระเริ่มแรกหลังการเลือกตั้ง จะมีส.ว. 250 คนที่คัดเลือกมาโดย “คสช.” อยู่ในวาระ 5 ปี มีสิทธิร่วมโหวตเปิดทางให้เลือก นายกฯ คนนอก ได้ ซึ่งมีความเป็นไปได้เช่นเดียวกันว่า การโหวตเลือกนายกฯ คนนอก อาจมีมากกว่า 1 ครั้ง

ดังนั้น การเลือกตั้งแล้วได้เป็นฝ่ายค้านของคนในฟาก “เพื่อไทย” คงไม่ใช่ตัวเลือกที่น่าพิศมัยเท่าไหร่นัก ลำพังจะสู้ด้วยคะแนนเลือกตั้ง คงไม่ง่ายอีกต่อไปแล้ว สู้หันไปซบคนที่ถือดุลอำนาจเหนือกว่า มันจะไม่ดีกว่าหรือ บางคนอาจคิดแบบนั้น

ยิ่งเป็นในทางการเมือง อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้!!! การแปรพักต์ จาก “นายใหญ่” ไปซบ “นายใหม่” อย่าง “บิ๊กตู่” ก็ใช่จะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว เพียงแต่เงื่อนไขบางอย่างยังไม่อำนวยให้เปิดหน้าเรียกราคาได้ในเวลานี้

จึงไม่ต้องแปลกใจถ้าเวลามาถึง อาจมีคนจาก “เพื่อไทย” ตัดสินใจถอดเสื้อคลุมค่ายเก่าทิ้ง เหมือน “ประชาธิปัตย์” ที่ความชัดเจนเรื่องนี้ถูกเปิดเผย โดยรองหัวหน้าพรรค นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ที่ระบุว่า “ประชาธิปัตย์ก็มีบางส่วนที่แตกออกไปสนับสนุนทหาร แต่ขั้วแก่นแท้ของพรรคก็ยังคงอยู่”

นั่นก็คงหมายความว่ามี “ประชาธิปัตย์” ก๊วนอื่นรวมอยู่ด้วยที่ตัดสินใจทิ้งพรรค ไม่เฉพาะแค่ประชาธิปัตย์ฝั่งกปปส.

เรื่องแบบนี้คงไม่มีใครอดได้หรอก เหมือนเวลาเข้าไปในสนามเด็กเล่น แล้วทำได้แค่ยืนมองคนอื่นสับเปลี่ยนหมุนเวียนเครื่องเล่นกันอย่างอิ่มเอม เปรมปรี สนุกสนาน คนที่ยืนดูคงมีอารมณ์อยากไปร่วมแจมบ้างไม่มากก็น้อย

ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อ “เลือกตั้ง” แล้ว คงไม่มีใครอยากจะเป็น “ฝ่ายค้าน” ยิ่งเมื้อถึงเวลาจริงๆ หลังถูกแช่งแข็งทางการเมืองมานาน เนื้อตัวย่อมสั่นระริก รอจังหวะลูบปาก เมื่อนั้น อาจจะได้เห็นคน “เพื่อไทย” และ “ประชาธิปัตย์” เปลี่ยนบทบาทมาหนุน “นายใหม่” กันเป็นแถวก็ได้

////