“3 ปี”... ก.ม.ทารุณสัตว์ “สรุปยาก” ได้ผล-ไม่ได้ผล ? : โดย... ดร.สาธิต ปรัชญาอริยะกุล สมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย (TSPCA)
หลายสิบปีที่ผ่านมามีความพยายามผลักดันให้ประเทศไทยมี “พระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์” ท่ามกลางกระแสที่เห็นด้วยและคัดค้าน
ในที่สุดกฎหมายป้องกันการทารุณกรรมสัตว์ก็ได้ประกาศใช้ 2557 ตามเจตนารมณ์ของหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น กรมปศุสัตว์ สภาทนายความ เครือข่ายองค์กรภาคเอกชน (เอ็นจีโอ) กว่า 90 องค์กร และประชาชนผู้รักสัตว์ที่มีการตื่นตัว สมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทยในฐานะผู้นำภาคประชาชนที่ได้รณรงค์และผลักดันกฎหมายฉบับนี้มาตลอด
โดยเฉพาะปี 2539 รายการสารคดีของสำนักข่าวต่างประเทศ รายงานสารคดีเกี่ยวกับการบริโภคเนื้อสุนัขของคนบ้านท่าแร่ จ.สกลนคร จนกลายเป็นข่าวครึกโครมไปทั่วโลก ทำให้ประเทศอังกฤษและสหภาพยุโรป ประณามประเทศไทยอย่างรุนแรง
การกระทำทารุณกรรมสัตว์ถือว่าเป็นความผิดกฎหมายของไทยชัดเจนตั้งแต่ปี พ.ศ.2452 ตามกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ.127 และในประมวลกฎหมายอาญาที่ใช้ในปัจจุบัน
เช่น มาตรา 381 (ทารุณสัตว์) ผู้ใดกระทำการทารุณต่อสัตว์หรือฆ่าสัตว์โดยให้ได้รับทุกขเวทนาอันไม่จำเป็น
มาตรา 382 (ใช้สัตว์ทำงานเกินควร) ผู้ใดใช้ให้สัตว์ทำงานจนเกินสมควรหรือใช้ให้ทำงานอันไม่สมควร เพราะเหตุที่สัตว์นั้นป่วยเจ็บ ชราหรืออ่อนอายุ
สำหรับความผิดทั้งสองมาตรานี้เป็นความผิดลหุโทษ ซึ่งในอดีตมีโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท จำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ เป็นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ในอดีต “สัตว์” เป็นเพียงแค่ “ทรัพย์” ของมนุษย์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เท่านั้น หากมีผู้ใดทำให้เสียหาย เสื่อมค่าไร้ประโยชน์ เป็นการกระทำต่อสัตว์ของตนเอง หรือสัตว์ที่ไม่มีเจ้าของ ผู้กระทำนั้นย่อมไม่มีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์
ในวันนี้กฎหมายทารุณกรรมสัตว์ยังมีข้อถกเถียงเรื่องของลักษณะการทารุณกรรม 20 ข้อ ซึ่งมีฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ฝ่ายที่ยังคัดค้านมองว่า
"หากประกาศใช้กฎหมายฉบับนี้จะเป็นกฎหมายป้องกันการทารุณสัตว์ฉบับเดียวที่มีข้อห้ามการทารุณสัตว์เพียงข้อเดียว แต่มีข้อยกเว้นถึง 11 ข้อ ซึ่งแน่นอนไม่สามารถคุ้มครองสัตว์ได้”
สำหรับฝ่ายที่สนับสนุนก็ให้เหตุผลว่า กฎหมายฉบับนี้ เป็นผลของการพิจารณาและเห็นชอบร่วมกันของหลายหน่วยงาน เช่น กรมปศุสัตว์ สภาทนายความ กฤษฎีกา รวมทั้งองค์กรเครือข่ายผู้รักสัตว์กว่า 90 องค์กร ที่ช่วยกันเสนอผลักดัน ถ้ามีการบรรจุลักษณะทารุณกรรม 20 ข้อลงในรายมาตรา จะค้านกับหลักความจริง
จนถึงวันนี้ลักษณะการทารุณกรรมใหม่ๆ ยังมีปรากฏให้เห็นทุกวัน เช่น การใช้ไฟฟ้าช็อต ใช้แรงดันฉีด หรือการจับเต่าหงายกระดองตากแดด ฯลฯ ก็ไม่อยู่ใน 20 ข้อ
การบัญญัติที่เฉพาะเจาะจงลงไปมากเท่าไหร่ จะทำให้กฎหมายยิ่งแคบลง ไม่ครอบคลุม เกิดช่องว่างและข้อจำกัดทางกฎหมายมากยิ่งขึ้น
ในวันนี้ผ่านไปแล้ว 3 ปี หลังประกาศใช้กฎหมายทารุณกรรมสัตว์ มีการจัดประชุมสัมมนาเครือข่ายผู้รักสัตว์ทั่วประเทศ กว่า 70 องค์กรทั่วประเทศ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งพอสรุปประเด็นได้ดังนี้
ประเด็นเจตนารมณ์ของกฎหมายฉบับนี้ มีสองมิติที่สำคัญประกอบด้วย มิติการป้องกันการทารุณกรรมสัตว์ และมิติการจัดสวัสดิภาพสัตว์ แต่ที่ผ่านการบังคับใช้กฎหมายส่วนใหญ่จะพิพากษาตัดสินแนวทางลักษณะการทารุณกรรมสัตว์ โดยไม่มีเหตุอันสมควรเป็นหลักตามมาตรา 20 ประกอบมาตรา 31
เช่น หลังจาก พ.ร.บ.มีสภาพใช้บังคับได้เพียง 4 วัน คือวันที่ 1 มกราคม 2558 ก็มีคดีแรกที่มีการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้ คือ คดีทำร้ายสุนัขที่จังหวัดหนองคาย และศาลได้มีคำพิพากษาในความผิดดังกล่าว เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2558 ให้จำคุก 1 ปี ปรับ 2,000 บาท แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญา หลังจากนั้นก็มีคำพิพากษาตามมา อีกหลายคดี เช่น คดีตีสุนัขด้วยท่อนเหล็ก ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ให้จำคุก 1 เดือน ปรับ 4,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา คดีซื้อสุนัขมาฆ่า ที่ จ.หนองคาย จำคุก 1 ปี ปรับ 6,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา คดีโยนสุนัขชิวาวา จากที่สูงใน กทม. โทษจำคุก 2 เดือนไม่รอลงอาญา คดีพ่อค้าข้าวมันไก่ ฆ่าสุนัขที่ กทม. โทษกักขัง 2 เดือน ไม่รอลงอาญา คดีวางยาเบื่อสุนัขที่ จ.ตาก โทษจำคุก 1 ปี ปรับ 6,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา คดีหนุ่มใหญ่ขี่รถจักยานยนต์และลากสุนัขจนได้รับบาดเจ็บที่ขาทั้งสี่ข้างเลือดไหล น่าทุกขเวทนา ให้จำคุก 6 เดือนปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี
ยกเว้น คดีหนุ่มจักรยานยนต์รับจ้างขอแมวมาฆ่า 9 ตัว โทษจำคุก 18 เดือนไม่รอลงอาญา เนื่องจากเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดก็เป็นเรื่องของลักษณะทารุณกรรมสัตว์ เกือบทั้งสิ้น
สำหรับมิติการจัดสวัสดิภาพสัตว์ 3 ปีที่ผ่านมา ยังไม่มีการบังคับใช้กฎหมายเนื่องจากไม่มีการการออกกฎหมายลำดับรองมารองรับ เช่น มาตรา 22 เจ้าของสัตว์ต้องดำเนินการจัดสวัสดิภาพสัตว์ให้แก่สัตว์ของตนให้เหมาะสม ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด มาตรา 23 ห้ามมิให้เจ้าของสัตว์ปล่อยละทิ้งหรือกระทำการใดๆ ให้สัตว์พ้นจากการดูแลของตนโดยไม่มีเหตุอันควร มาตรา 24 การขนส่งสัตว์ หรือการนำสัตว์ไปใช้งานหรือการแสดง เจ้าของสัตว์หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต้องจัดสวัสดิภาพให้เหมาะสม ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด โดยมาตรา 32 กำหนดว่า เจ้าของหรือผู้ใดไม่ปฏิบัติมาตรา 22 มาตรา 24 หรือฝ่าฝืนมาตรา 23 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท ซึ่งมาตรา 35 กำหนดว่า บรรดาความผิดที่มีโทษปรับสถานเดียวให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายมีอำนาจเปรียบเทียบได้ ซึ่งในขณะนี้อธิบดีไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์และมอบหมายให้ใครเป็นผู้เปรียบเทียบปรับ จึงไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายในเรื่องดังกล่าวได้
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า ที่ผ่านมามิติการทารุณสัตว์โดยไม่มีเหตุอันสมควรนั้น ก็จะพอพิสูจน์ได้ว่ากฎหมายนี้บังคับได้จริง โดยมีการร้องทุกข์ กล่าวโทษ ในคดีทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุอันสมควรกว่า 200 คดี มีคำพิพากษาของศาลแล้วไม่ต่ำกว่า 20 คดี และมีอีกหลายคดีกำลังเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม หลายคดีสามารถนำตัวผู้กระทำความผิดมารับโทษได้ทันที ด้วยระยะเวลาอันรวดเร็ว ทั้งจับ ปรับและจำคุก
สำหรับมิติการจัดสวัสดิภาพสัตว์นั้น คงต้องให้กำลังใจ “คณะกรรมการป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์” และกรมปศุสัตว์ในฐานะผู้รับผิดชอบหลักในการออกกฎหมายลำดับรองและการติดตามบังคับใช้กฎหมาย และที่สำคัญในที่ประชุมเห็นว่าไม่ควรเร่งรีบจะแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ แต่ควรบังคับใช้ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ตามเจตนารมณ์ก่อน
ถ้ามีคนตั้งคำถามว่า ทำไมมีกฎหมายแล้วก็ยังมีผู้กระทำความผิดอีก ?
เปรียบเหมือนการมีกฎหมายห้ามปล้นธนาคารแต่ก็ยังมีการปล้นธนาคารอยู่เช่นกัน ฉันใดก็ฉันนั้น กฎหมายก็เพียงแค่เครื่องมือในการอำนวยความยุติธรรมเท่านั้น ส่วนผู้กระทำความผิดก็อยู่ที่พฤติกรรม เจตนาและจิตสำนึก ของคนคนนั้นเช่นกัน ทุกคนต้องมีส่วนร่วมปฏิบัติตามกฎหมายและช่วยกันสอดส่องดูแล ให้ความรู้และการปลูกจิตสำนึกเปลี่ยนค่านิยมในด้านทารุณกรรมสัตว์
กฎหมายแม้ให้ “สิทธิ” ที่ได้รับการรับรองและคุ้มครองให้แต่ “สิทธิ” นั้น ต้องมาพร้อมกับ “หน้าที่และความรับผิดชอบด้วย” สังคมจะอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุขตลอดไป
ที่ประชุมเห็นว่าไม่ควรเร่งรีบที่จะแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ เนื่องจากระยะเวลาเพียง 3 ปียังน้อยเกินไปที่จะสรุปว่า กฎหมายฉบับนี้ได้ผลหรือไม่ได้ผล เนื่องจากเหตุผล 4 ประการ ดังนี้
1.ประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมาย ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ตามเจตนารมณ์ เนื่องจาก กฎหมายลำดับรอง ในเรื่อง “การจัดสวัสดิภาพสัตว์” ยังไม่มีประกาศใช้ ประชาชนเลยเข้าใจกฎหมายเพียงมิติเดียว
2.บทกำหนดโทษ ที่กำหนดไว้ในการทารุณกรรมสัตว์โดยไม่เหตุอันสมควร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หลายคนมองว่าโทษสูงเกินไปเมื่อเทียบกับอัตราการทำร้ายร่างกายมนุษย์ แท้จริงแล้วเรื่องดังกล่าวต้องพิจารณาว่าโทษการทำร้ายมนุษย์นั้น ตามป.อาญา นั้นมีหลายบทตามลักษณะของความผิด เช่น มาตรา 391 การทำร้ายร่างกายเล็กน้อยไม่ถึงกับกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ร่างกายและจิตใจ มีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน ปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท มาตรา 295 การทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายต่อกายและจิตใจ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี ปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท มาตรา 297 ผู้ใดทำร้ายร่างกายผู้อื่นทำให้ได้รับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นถึงสองแสนบาท
โดยเฉพาะการฆ่าตามมาตรา 288 ผู้ใดฆ่าผู้อื่นต้องระวางโทษ ประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าถึงยี่สิบปี และมาตรา 289 ในกรณีฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือกระทำการทารุณโหดร้าย ต้องระวางโทษประหารชีวิต ดังนั้นจึงไม่ควรนำบทกำหนดโทษกรณีทารุณสัตว์มาเปรียบเทียบกับกรณีการทำร้าย การทรมานหรือการฆ่ามนุษย์ และที่ผ่านมาศาลก็พิจารณาพิเคราะห์ตามเหตุปัจจัยและหลักแห่งความยุติธรรม การลงโทษส่วนใหญ่เป็นโทษปรับ สำหรับโทษจำคุกมักรอลงอาญา
3.ควรให้นิยามศัพท์คำว่า “สัตว์ที่อาศัยอยู่ในธรรมชาติ” ตามมาตรา 3 ให้ครบถ้วนเสียก่อน เพราะจะช่วยลดการทารุณสัตว์ที่อาศัยตามธรรมชาติ เช่น นก และสัตว์อื่นๆ ได้มากขึ้น สำหรับการนิยาม “ลักษณะการทารุณกรรมสัตว์” นั้น ควรเปิดกว้างไว้ก่อนดีกว่าการนิยามที่เฉพาะเจาะจงลงไป เพราะสัตว์นั้นต่างจากมนุษย์มีประเภท ชนิด ลักษณะ สภาพที่แตกต่างกัน แม้แต่สัตว์พันธุ์เดียวกันก็แตกต่าง ซึ่งคำพิพากษาของศาลจะเป็นบรรทัดฐานและแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นในอนาคต
4.ควรให้คณะกรรมการป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ตามมาตรา 5 ดำเนินงานตามกรอบอำนาจหน้าที่เสียก่อนเพราะที่ผ่านมาเพิ่งมีการประชุมเพียง 3 ครั้ง
ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรช่วยกันเร่งคลี่คลาย 4 ประเด็นข้างต้นก่อน ตัดสินว่า “ได้ผล–ไม่ได้ผล” โดยเฉพาะก่อนนำไปสู่การยื่นเรื่องขอแก้ไขปรับปรุงกฎหมายฉบับนี้อีกครั้ง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง