คอลัมนิสต์

“น้องตู่” คือ พระจันทร์ “พี่ป้อม” คือ พระอาทิตย์

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

มีการมองกันว่า หากเปรียบ พล.อ.ประยุทธ์ เป็น ดวงจันทร์ ค่อยส่องสว่างในช่วงกลางคืน พล.อ.ประวิตร คือ ดวงอาทิตย์ ส่องสว่างในเวลากลางวัน

 

             ยิ่ง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็น “ตำบลกระสุนตก” มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีคำถามดังขึ้นๆว่า ทำไม “บิ๊กตู่”

             พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้า คสช.ยังเลือกที่จะปกป้อง “พี่ป้อม”

             ถ้าเป็นรัฐบาลเลือกตั้ง “รัฐมนตรี” คนไหน โดนกระหน่ำหนักขนาดนี้ มีหวัง “นายกฯ” ปลดพ้นเก้าอี้

             สำหรับรัฐบาล คสช. “บิ๊กตู่” และ “บิ๊กป้อม” รองนายกฯอันดับหนึ่งที่ดูแลฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม คือ “หัวเรือใหญ่” ที่ัื่ืมีส่วนสำคัญในการคิด วางเกม ทำรัฐประหาร เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 จนสำเร็จลุล่วงและเป็นตัวตั้งตัวตีจัดตั้งรัฐบาลมาบริหารประเทศ และเขียนกรอบให้ฝ่ายการเมืองเดินตามโรดแม็พที่วางไว้จนมาถึงทุกวันนี้ 

             สองหัวเรือใหญ่นี้ ต่างมีจุดเด่น จุดด้อย ที่คอยเติมเต็มในส่วนที่ขาด

             พล.อ.ประยุทธ์ แม้ไม่ได้มีคอนเนคชั่นกว้างขวาง แต่อาศัยบุคลิคที่โดดเด่น พูดจาตรงไปตรงมา เรียกความนิยมชมชอบและคะแนนเสียงจากประชาชน รวมถึงบทบาทในเวทีระดับประเทศก็ไม่ได้ขี้เหร่

             ส่วน พล.อ.ประวิตรแม้ไม่มี พ่อยก แม่ยก แต่เป็นมือประสานสิบทิศพูดคุยกับกลุ่มการเมือง นักธุรกิจ และยังเป็นที่เคารพนับถือจากทหาร ตำรวจ

             หากมองย้อนกลับไป จะเห็นว่ารัฐบาลที่มาจากรัฐประหารทุกยุคทุกสมัย ถูกฝ่ายตรงข้ามใช้จุดอ่อนในเรื่องความไม่เป็นประชาธิปไตยมาโจมตี เพื่อลดทอนความเชื่อมั่นจากคนในประเทศ ขณะเดียวกันก็ใช้นานาชาติเป็นเครื่องมือกดดัน บีบให้คืนอำนาจโดยเร็วที่สุด ซึ่งที่ผ่านมาล้วนประสบผลสำเร็จ

             แต่กับรัฐบาล คสช. กลับอยู่ในอำนาจนานกว่าที่ควรจะเป็น

             ต้องยอมรับว่าความสัมพันธ์อันแนบแน่น ที่เป็นมากกว่ารุ่นพี่รุ่นน้อง ตั้งแต่รับราชการทหารของ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ยาวนานกว่า50 ปี เป็นจุดแข็งสำคัญ ทำให้เกิดเสถียรภาพทางการเมือง กำกับดูแล ข้าราชการทหาร ตำรวจ ไม่ให้ใส่เกียร์ว่าง แต่ให้เป็นมือเป็นไม้ ควบคุมสถานการณ์ให้เกิดความสงบ และผลักดันงานต่างๆจนสำเร็จ

             การจะตีรัฐบาล คสช.ให้แตก ก็ต้องตีที่สองหัวเรือใหญ่นี้

             จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่คนทั้งคู่ต่างสลับกันตกเป็นเป้าของฝ่ายการเมือง คนในครอบครัว คนใกล้ชิด ถูกดึงเข้ามาสู่เกมแย่งชิงอำนาจนี้ โดยเฉพาะเรื่องทุจริต ถือเป็นเรื่องที่สังคมจับตาและให้ความสนใจ เนื่องจากกระบวนการตรวจสอบต่างๆทำได้ยาก เพราะรัฐบาลชุดนี้มีอำนาจพิเศษมากมาย รวมถึงการแต่งตั้งคนของตัวเองไปนั่งในตำแหน่งสำคัญๆ

             โดยเน้นหนักไปยัง พล.อ.ประวิตร เพราะมีคำถามในเรื่องความโปร่งใสมาตลอด ตั้งแต่การจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ในกองทัพ การปรับย้ายนายทหารตำรวจ เรียกได้ว่าขยับไปทางไหน เป็นประเด็นให้ฝ่ายการเมืองกระทุ้งได้ตลอด จนมาถึงกรณีล่าสุด “ปมแหวนเพชร-นาฬิกาหรู” ไม่มีในรายการบัญชีทรัพย์สิน ที่ได้แจ้งไว้กับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

             แม้จะทราบดีว่า ในแง่กฎหมาย พล.อ.ประวิตร ยังไม่มีความผิดใด ๆ เพราะการแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.จะกระทำก่อนเข้ารับตำแหน่ง และหลังพ้นจากตำแหน่งเท่านั้น ในระหว่างทาง ไม่จำเป็นต้องไปแจ้งเพิ่ม หากมีแก้ว แหวน เงิน ทอง เพิ่มเติมเข้ามา

             แต่ก็ยังมีประเด็นว่า พล.อ.ประวิตร อาจจะปกปิดบัญชีทรัพย์สิน คือ ครอบครองแหวนเพชร นาฬิกาหรูนั้นมาก่อน แต่ไม่แจกแจงในบัญชีทรัพย์สินรวมถึงมีการมองไปถึงว่า “ร่ำรวยผิดปกติ” หรือไม่

             เรียกว่างานนี้ “บิ๊กป้อม” โดนหนัก มีกระแสกดดันให้ลาออกจากตำแหน่ง

             มีการมองกันว่า หากเปรียบ พล.อ.ประยุทธ์ เป็น ดวงจันทร์ ค่อยส่องสว่างในช่วงกลางคืน พล.อ.ประวิตร คือ ดวงอาทิตย์ ส่องสว่างในเวลากลางวัน

             ถามว่า ทำไมเปรียบ "บิ๊กตู่" เป็นดวงจันทร์ น่าจะเป็น "ดวงอาทิตย์" ซึ่งร้อนแรงกว่าไหม

             ถ้าตอบแบบขำๆ ก็ต้องบอกว่า ดูที่นามสกุลบิ๊กตู่ซิ... "จันทร์โอชา" จะให้เป็น "พระอาทิตย์" ได้อย่างไร

             แต่ถ้าดูที่เนื้อหาสาระจริงๆ คนที่ติดตามพี่น้องคู่นี้มาตลอด ยังยืนยันว่า "บิ๊กป้อม" ก็เหมาะที่จะเป็น "พระอาทิตย์"

             และหากดวงอาทิตย์ดับลงสักดวงนั้นหมายความว่า เสถียรภาพรัฐบาล คสช.ย่อมสั่นคลอนแน่นอน

             พล.อ.ประยุทธ์ ก็ทราบถึงข้อเท็จจริงตรงนี้ดี จึงยื่นมือเข้ามาประคับประคองและปกป้อง พล.อ.ประวิตร ในยามพลาดพลั้ง

             แม้จะเชื่อมั่นว่า ความเป็นชายชาติทหารจะสร้างความเข้มแข็งให้พี่ชายคนนี้ผ่านมรสุมไปได้ แต่ในใจลึกๆยังห่วง ว่าหาก พล.อ.ประวิตร ถูกเขย่าบ่อยๆ มีสิทธิ์ออกอาการเป๋ และสภาพจิตใจ อาจส่งผลต่อสุขภาพที่พึ่งฟื้นจากการเจ็บป่วย ทำให้ “บิ๊กตู่” ต้องออกปากปรามสื่อ ให้ลดราวาศอก ขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการ

             ท้ายที่สุดแล้ว ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ยังจะต้องยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ ต่อสู้ไปด้วยกัน จะขาดใครไปคนหนึ่งไม่ได้ ใครล้มลงไป อีกคนต้องฉุดรั้งขึ้นมา

             เพื่อให้เดินไปข้างหน้าตามโรดแม็พที่วางไว้ เพื่อให้รัฐประหาร 22 พ.ค.57 “ไม่เสียของ”

++++++

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ