คอลัมนิสต์

เบื้องลึกจาก "หมอวรงค์" กับ "สายสืบจำนำข้าว"

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เรื่องที่ไม่ค่อยรู้ “หมอวรงค์” ได้ข้อมูลจำนำข้าวอย่างไร เบื้องลึกจากหมอวรงค์ กับสายสืบจำนำข้าว

ทีมข่าว "คมชัดลึก" ได้สัมภาษณ์ "น.พ.วรงค์ เดชวิกรม" หัวหมูทะลวงฟัน มือปราบจำนำข้าว ของพรรคประชาธิปัตย์ ไว้เมื่อก่อนการนัดพิพากษาคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 ส.ค.   มาถึงวันนี้ศาลมีคำพิพากษาจำคุก 5 ปี  เราจึงนำมาฝากกันอีกครั้ง ดูกันว่า "หมอวรงค์" มีกลเม็ดเด็ดพราย หรือเกร็ดในการสืบหาข้อเท็จจริงของโคงการจำนำข้าวอย่างไร
----
          ในวันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม ที่ถึงนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง มีคำตัดสิน ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีจำนำข้าวหาก ยังจำได้ในช่วงที่นโยบายดังกล่าวถูกขับเคลื่อนก็มีทั้งเสียงที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยเป็นวิจารณ์อย่างกว้างขวางโดยฝ่ายที่คัดค้านถ้าคิดถึงชื่ออันดับต้นๆ ก็คงหนีไม่พ้น นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นบุคคลผู้คอยเกาะติดนโยบายดังกล่าวเป็นพิเศษ โดยตัวเขาเองมีบทบาทในการคัดค้านอย่างชัดเจน จนมีผลงานออกเป็นหนังสือ “มหากาพย์โกงข้าว”
ดังนั้น เมื่อจุดสิ้นสุดของคดีใกล้เข้ามาเต็มทีเราจึงขอพาผู้อ่านย้อนไปยังวันวานกับคดีดังกล่าวในมุมมองของ นพ.วรงค์ ว่าขณะนั้นเขาต้องพบเจออะไรบ้างในการคัดค้านนโยบายดังกล่าว
 
จุดเริ่มต้นการเกาะติด “จำนำข้าว”
          นพ.วรงค์เริ่มเปิดประเด็นถึงความไม่ชอบมาพากลของโครงการรับจำนำข้าว โดยทันทีที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงด้วยนโยบายดังกล่าวก็เห็นได้แล้วว่าชาวนาไม่ได้ประโยชน์โดยตรง แต่กลับเป็นโรงสีข้าวและกลุ่มคนที่รอระบายข้าวที่จะได้รับประโยชน์เต็มๆ
          หมอวรงค์เล่าต่อไปว่า ด้วยหลักการของโครงการรับจำนำเรารู้อยู่แล้วว่ามันไม่ได้ประโยชน์กับชาวนา ตรงนี้เป็นความรู้พื้นฐานที่เรารับฟังมาตลอดจากข้อมูลของคนในวงการข้าวและโรงสีที่เล่าให้ฟังหลังจากที่มีการจัดคณะรัฐมนตรีเงา(ครม.เงา) โดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในขณะนั้น ได้รับตำแหน่ง รมช.พาณิชย์เงา อีกทั้งที่ประชุมครม.เงาให้ตามเรื่องข้าวเป็นหลัก จึงเป็นที่มาให้ลงมาลุยเรื่องข้าวอย่างเต็มตัว
ในส่วนของการอธิบายเรื่องจำนำข้าวให้ชาวบ้านฟังแบบง่ายๆ นั้นนพ.วรงค์เล่าว่า สิ่งที่ยากที่สุดของการทำงานคือจะทำอย่างไรเพื่ออธิบายเรื่องข้าวให้ประชาชนและสื่อมวลชนเข้าใจตรงกันอย่างเป็นระบบ ดังนั้นในช่วงแรกจึงได้ลงไปคลุกคลีกับชาวนารับฟังปัญหา ไปพูดคุยกับพวกโรงสีข้าว, กลุ่มส่งออก, เจ้าของโกดังข้าว รวมถึงร่วมวงกับสมาคมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องข้าวรวบรวมข้อมูลตกผลึกความคิด กระทั่งได้บทสรุปว่าโครงการมีผลประโยชน์ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ

ว่าด้วยความผิดเรื่อง จำนำข้าว ระบายข้าว-ปล่อยปละละเลย
          ในสองคดีนี้ นพ.วรงค์ระบุว่า กรณีระบายข้าวของ บุญทรง เตริยาภิรมย์อดีตรมว.พาณิชย์ เป็นเรื่องที่เห็นชัดเจนเพราะอ้างว่าเป็นการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ(จีทูจี) สิ่งที่ทุกคนต้องติดตามเพื่อจะได้เข้าใจเมื่อถึงวันนั้นมีอยู่ 3 ประเด็นคือ 1.ดูว่าสัญญาที่ทำขึ้นระหว่างไทย-จีน เป็นสัญญาโดยชอบธรรมหรือไม่ เพราะเขาอ้างว่าเป็นรัฐวิสาหกิจซึ่งเชื่อว่าศาลอาจจะต้องพิจารณาเรื่องสัญญา 2.ถ้าจีนเป็นผู้ซื้อข้าวจริง ข้าวก็จะต้องถูกส่งไปยังประเทศผู้ซื้อ แต่ตัวเลขที่มีการสืบในศาลพบว่าข้าวไม่ได้ถูกส่งออกไปต่างประเทศ และ 3.คือเรื่องของการชำระเงินปกติการค้าระหว่างประเทศไม่มีใครนำเงินสดไปซื้อหรือแคชเชียร์เช็คมาชำระ ฉะนั้นถ้าเราดูในมุมต่างๆ เหล่านี้ก็จะนำไปสู่การตั้งคำถามว่า จีทูจีเป็นของจริงหรือไม่ จึงเป็นที่มาที่เราร้องเรียนฝั่งรัฐบาลสมัยนั้นว่าเป็นจีทูจีเก๊
          ในขณะที่ ยิ่งลักษณ์ก็กล่าวหาในข้อหาตามภาษากฎหมายว่า ปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติโดยทุจริต จะโดนทั้งสองข้อหานี้ ซึ่งโครงการรับจำนำข้าวมี 4 ขั้นตอน โดยเริ่มจาก 1.การลงทะเบียน แต่มุมนี้มองว่ายังไกลตัวยิ่งลักษณ์ เพราะฝ่ายการเมืองคงไม่มานั่งเฝ้าตอนลงทะเบียนแน่ๆ 2.คือตอนต้นน้ำที่ชาวนานำข้าวมาโรงสี ต้องดูว่าชาวนาได้ประโยชน์เต็มที่หรือไม่ แล้วก็มีการปล่อยให้เกิดการทุจริตหรือไม่ 3.เป็นเรื่องของกลางน้ำที่โรงสีสีข้าวแล้วไปเก็บที่โกดัง อุตส่าห์จ้างเซอร์เวเยอร์ไปตรวจสอบคุณภาพข้าวโดยใช้เงินจำนวนมหาศาล ควรที่จะได้ข้าวคุณภาพดีทั้งหมด แต่กลับกลายเป็นว่ามีข้าวไม่ดีมีข้าวเน่าเกิดขึ้น และ 4.ข้าวที่อยู่ในโกดังที่มีการระบายแบบจีทูจีเก๊เกิดขึ้น
          ส่วนตัวมองว่าประเด็นที่ 4 ถือว่าใกล้ตัวอดีตนายกฯ ที่สุด เพราะขั้นตอนของการระบายข้าวมีรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล ขยับมาก็เป็นเรื่องข้าวในโกดัง เพราะ ส.ส.พยายามบอกกับรัฐบาลมาโดยตลอด แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดังนั้น สองคดีของบุญทรงและยิ่งลักษณ์มีความสัมพันธ์กันแน่นอน เพียงแต่ว่าศาลจะใช้ดุลพินิจอะไรแบบไหน

ข้อมูลกว่าจะได้มา ไม่ใช่เรื่องง่าย  แต่บางครั้งก็ไม่ยาก
          “มันยากมากนะ แต่ผมว่ามันขึ้นอยู่กับดวงชะตาด้วย เพราะผมได้รับการช่วยเหลือจากโรงสีข้าวดีๆ โทรมาบอกข้อมูลว่าจะมีการขนส่งข้าวที่จังหวัดนู้นจังหวัดนี้ เขาจะช่วยประสานส่งคนของเราไปเป็นเด็กท้ายรถ อยู่กับคนขับ 3-4 วัน เพื่อสร้างความคุ้นเคยจะได้ไม่เป็นที่สงสัย จากนั้นก็เข้าไปเก็บข้อมูลเพื่อนำมาเป็นหลักฐาน”
          เรื่องของการส่งคนเช่นว่านั้น นพ.วรงค์แจกแจงคุณสมบัติว่า เป็นคนใกล้ชิดและมีทักษะต้องไว้ใจได้ เพราะข้อมูลเป็นความลับทั้งหมดแต่ก็มีเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นที่ จ.กำแพงเพชร ตอนนั้นยอมรับว่าเราส่งคนที่ไม่มีประสบการณ์เข้าไปจึงทำให้ถูกจับได้ แต่ผมว่าเขาเป็นคนมีไหวพริบสามารถเอาตัวรอดได้เพราะเขากลับมาเล่าให้ฟังว่าเขาใช้วิธีบอกว่าเฮียให้มาดูว่ามีข้าวเก่าข้าวเหลืองเยอะมั้ย เพราะที่โกดังเฮียมีข้าวแบบนี้เยอะ ถ้ามีก็จะได้สั่งมาลงที่โกดังนี้ได้ จึงกลายเป็นว่าทางนู้นก็มองเป็นพวกเดียวกัน
          อีกจุดหนึ่งคือช่วงที่ไปชายแดนเมียนมาร์ที่มีการลำเลียงข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านเยอะมาก อย่างที่เห็นๆ เพื่อมาสวมสิทธิ์ข้าวชาวนาไทย ช่วงนั้นเราก็ได้คนเขมรแถบชายแดนโทรมาให้ข้อมูลว่าแถวตาพระยามีการลำเลียงข้าวเข้าไทยคืนหนึ่งเป็นร้อยคันรถ เราก็ส่งคนไปดูและก็ได้ภาพมา เราจ้างคนไทยเชื้อสายเขมรติดกล้องตามไปดูช่วงที่มีการขนถ่ายผ่านด่านตรวจเข้ามาและย้ำว่าให้เขาตามไปให้เห็นว่านำไปส่งที่โกดังไหน
          “มีครั้งหนึ่งที่ผมลงไปลุยด้วยตัวเองติดชายแดนแถวๆ จ.ปราจีนบุรี ด้วยความที่ผมอยากเห็นกับตาเลยไปดู ก็เห็นรถขนมันวิ่งผ่านกันทั้งคืนโดยที่เจ้าหน้าที่รัฐไม่ทำอะไรเลย”
          “สิ่งที่ตื่นเต้นอีกเหตุการณ์หนึ่งคือตอนนั้นข้อมูลเกี่ยวกับจีทูจีมีหลากหลายมาก ทั้งแคชเชียร์เช็ค หลักฐานเกี่ยวกับเรื่องสัญญาของพวกนี้ต้องเป็นคนในเป็นคนนำออกมาให้เรา แต่อยู่ๆ ก็มีผู้หวังดีโทรมาบอกว่าเขาได้หลักฐานสำคัญมาก ผมถามว่าได้มาอย่างไร เขาแค่ตอบว่ามีคนส่งต่อมาอีกทีเพราะไม่อยากให้ประเทศเสียหายมากกว่านี้ ซึ่งวิธีการที่ได้มาก็คือให้ผมขับรถผ่านโรงแรมสยามซิตี้เก่าแถวถนนศรีอยุธยาช่วง 5 โมงเย็น และต้องเปิดกระจกลงให้หมดแล้วจะมีคนโยนเอกสารมาให้ มันเหมือนในหนังสายลับเลยนะ”
          พอได้มาก็ดูไม่รู้เรื่อง มันเยอะมาก แต่รู้ว่ามีแคชเชียร์เช็ค สเตทเมนท์โชคดีที่มีเพื่อนทำงานธนาคารก็เลยนำไปให้ดู แต่เขาก็บอกว่ามันเยอะแยะมากแล้วโค้ดของแต่ละแบงก์ก็ไม่เหมือนกัน โชคดีอีกที่ได้แฟนของเพื่อนช่วยติดต่อคนที่ทำงานธนาคารมาช่วยแกะโค้ดให้ จึงรู้ว่ามีเงินเข้าบัญชีของกรมการค้าระหว่างประเทศ ระบุเลขที่บัญชี วันที่เงินเข้า จำนวนเงินที่เข้ากี่พันล้าน มันชัดเจนมาก
          “ผมเคยค้านในสภาว่าถ้าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเลขที่บัญชีกรมการค้าต่างประเทศเรื่องข้าวท่านไปเปิดดูได้เลยว่าผมโกหกหรือไม่ รัฐบาลก็ไม่กล้า”
          ทั้งนี้ นพ.วรงค์บอกว่า ข้อมูลจากรัฐเราไม่เคยได้โดยตรงแต่มีคนในแจ้งเข้ามาเกี่ยวกับการระบายข้าวทั้งสิ้น ซึ่งได้เอกสารสัญญาการเบิกข้าวอ้างจีทูจีทั้งนั้น แต่มันไม่ใช่อันนี้ของเสี่ยคนนั้นคนนี้และเขารู้อยู่แล้วว่าข้าวถูกส่งไปอีกโกดังหนึ่งเอาไปเวียนเทียน
          “จริงๆ เรื่องนี้ถือว่าอันตรายเพราะทุกอย่างเป็นความลับทั้งหมด กระทั่งทุกวันนี้ผมยังไม่เปิดเผยเพราะถือว่าเขาไม่ให้เห็นหน้า ไม่เปิดเผยตัว เพียงแต่เขาเป็นผู้ปิดทองหลังพระที่จะช่วย เพราะฉะนั้นรัฐไม่มีเจตนาที่จะปกป้องทุจริต การที่รัฐรู้ว่าใครเป็นคนทำเขาต้องจัดการอย่างแน่นอน ดังนั้นทุกอย่างต้องเป็นความลับ”
          ซึ่งการทำงานเรื่องหาข้อมูลจำนำข้าวนั้น นพ.วรงค์บอกว่า ใช้คนเยอะมากแต่ไม่ใช่คนที่มาแล้วเข้ามานั่งด้วยกัน เพียงแต่ว่าอาศัยมีพรรคพวกเช่นเราอยากได้รถทะเบียนนี้อยากได้ภาพนี้ก็จะใช้พรรคพวกในกระทรวงอยู่ในวงการตำรวจช่วย เช่น มีเพื่อนอยู่ในดีเอสไอ ก็วานให้ช่วยหน่อย เขาก็ไปหารายงานมาให้ เราต้องมีหน้าที่ต่อจิ๊กซอว์เหล่านั้นเข้าด้วยกันเพื่อให้เห็นเป็นภาพใหญ่
          ทั้งหมดนี้คือ เบื้องลึกเบื้องหลังการทำงานหาข้อมูล ของทีมหมอวรงค์ ที่จะเรียกว่า ทีมงานนักสืบจำนำข้าวก็คงไม่ผิดนัก.

---------------------------

จักรวาล ส่าเหล่ทู
 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ