คอลัมนิสต์

ปริศนา... ไข้หวัดใหญ่ฮ่องกง 2017 กับ “วัคซีนฟรี” ของไทย

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ไวรัสไข้หวัดใหญ่ เอช 3 เอ็น 2 หรือ “ไข้หวัดใหญ่ฮ่องกง” กลับมาสร้างปัญหาอีกครั้ง... “วัคซีนฟรี” ของไทย จะช่วยป้องกันไวรัสร้ายตัวนี้ได้หรือไม่?

          ช่วงนี้องค์การอนามัยโลกกำลังจับตาดูฮ่องกงอย่างใกล้ชิด หลังการแพร่ระบาดของ “ไวรัสไข้หวัดใหญ่ เอช 3 เอ็น 2” (H3N2influenza) หรือบางครั้งเรียกว่า “ไข้หวัดใหญ่ฮ่องกง” (Hong Kong Flu) เพราะต้นกำเนิดมาจากเกาะเล็กๆ แห่งนี้เมื่อ 50 ปีที่แล้ว จากนั้นแพร่ระบาดไปประเทศอื่นๆ ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสเป็นห่วงว่าการกลับมาครั้งนี้จะมีฤทธิ์เดชมากน้อยเพียงไร เพราะโผล่มาช่วงหน้าร้อนเดือนกรกฎาคม ทั้งที่ปกติควรระบาดช่วงปลายปีหรือหน้าหนาว....

ปริศนา... ไข้หวัดใหญ่ฮ่องกง 2017 กับ “วัคซีนฟรี” ของไทย

         สื่อมวลชนฮ่องกงเริ่มรายงานการระบาดเชื้อไวรัสเอช 3 เอ็น 2 ตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา พบคนป่วยรุนแรงกว่า 70 ราย จนกระทั่งต้นเดือนกรกฎาคมตัวเลขพุ่งขึ้นเรื่อยๆ หากเปรียบเทียบตัวเลขตั้งแต่วันที่ 9-15 กรกฎาคม ของปี 2016 มีผู้ติดเชื้อ 155 คน แต่ช่วงเวลาเดียวกันของปีนี้ตัวเลขสูงถึง 2,746 คน พุ่งทะลุกว่า 1,500 เปอร์เซ็นต์

          “แคร์รี แลม” หัวหน้าคณะผู้บริหารเกาะฮ่องกง ถึงกับต้องเดินทางไปเสาะแสวงหาข้อเท็จจริงถึงในโรงพยาบาล เนื่องจากเกิดปัญหาบุคลากรทางการแพทย์ของฮ่องกงไม่เพียงพอในการรับมือผู้ป่วยล้นทะลัก ประชาชนเรียกร้องให้โรงพยาบาลออกมาตรการช่วยเหลือเร่งด่วน เช่น จ้างหมอและพยาบาลให้ทำงานนอกเวลาเพิ่มขึ้น เพราะมียอดผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 150 คนแล้ว ป่วยรุนแรงกว่า 300 ราย

         นอกจากนี้ยังพบเด็กน้อยวัย 3 ขวบที่ป่วยรุนแรงจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ มีอาการไข้ ไอ อาเจียนและถึงขั้นร่างกายชัก แพทย์วินิจฉัยเบื้องต้นว่าเป็น “โรคสมองอักเสบ” (encephalopathy) ซึ่งบางครั้งเกิดขึ้นหลังจากผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสแล้วทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายทำงานผิดปกติ สร้างความกังวลใจให้ครอบครัวชาวฮ่องกงที่มีลูกหลานเป็นเด็กเล็ก

         “นักจุลชีววิทยา” ของจีนและมหาวิทยาลัยการแพทย์ทั่วโลกกำลังช่วยกันวิเคราะห์ถอดรหัสพันธุกรรมของไวรัสตัวนี้ เพราะหวาดผวาว่าเป็นการส่ง “ปริศนา” สัญญาณการกลายพันธุ์ของไวรัสไข้หวัดใหญ่ฮ่องกง 2017 เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับ “ไวรัสไข้หวัดใหญ่ฮ่องกง 1968”

         ย้อนไป 50 ปีที่แล้ว ไวรัส “เอช 3 เอ็น 2” พบครั้งแรกในผู้ป่วยฮ่องกง เมื่อปี 1968 หรือ พ.ศ.2511 คาดว่าระบาดมาจากนกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เกาะฮ่องกงขณะนั้นมีประชากรประมาณ 3 ล้านคน ปรากฏว่าติดเชื้อไวรัสตัวนี้มากถึง 5 แสนคน หรือประมาณร้อยละ 15 ก่อนแพร่ระบาดไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงเช่น เวียดนาม สิงคโปร์ อินเดีย ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น จากนั้นข้ามไปสู่ทวีปออสเตรเลีย ทวีปยุโรป และกลายเป็นเหตุการณ์ที่ต้องบันทึกไว้ เมื่อเชื้อไวรัสตัวนี้ติดต่อในหมู่ทหารผ่านศึกอเมริกันในสงครามเวียดนาม เมื่อทหารกลับบ้านก็เอาเชื้อไวรัสตัวนี้ไปอเมริกาด้วย แต่ฝรั่งแถวนั้นไม่มีภูมิต้านทาน ทำให้ป่วยตายไปไม่ต่ำกว่า 3.3 หมื่นคน จากนั้นมีรายงานจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นถึง 7 แสนคน แต่สถิติการเสียชีวิตผู้ป่วยชาวเอเชียไม่มากนัก เนื่องจากร่างกายมีภูมิคุ้มกันเพราะคุ้นเคยกับไวรัสตัวนี้เป็นอย่างดี

          “ไวรัสไข้หวัดใหญ่ฮ่องกง 2017” เริ่มกลายเป็นปริศนาว่า จะกลายพันธุ์รุนแรงแค่ไหนและจะแพร่ระบาดมากกว่านี้หรือไม่ เพราะขณะนี้ทำให้ชาวฮ่องกงป่วยมากสุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา...ในแต่ละวันโรงพยาบาลออกมารายงานตัวเลขผู้ป่วยเสียชีวิตอย่างต่อเนื่อง !?!

          คำถามสำคัญอีกข้อหนึ่งคือ วัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่กระทรวงสาธารณสุขของไทยกำลังรณรงค์ฉีดฟรีให้ประชาชนนั้น ช่วยป้องกันไวรัสร้ายตัวนี้ได้หรือไม่ ?

            “นพ.อมร ลีลารัศมี” ประธานราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทยผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสและโรคติดเชื้อ อธิบายว่า องค์การอนามัยโลกสนใจการระบาดของไข้หวัดใหญ่ฮ่องกง เอช 3 เอ็น 2 ครั้งนี้มากเป็นพิเศษ เนื่องจากพบอัตราการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา มีคนป่วยเสียชีวิตหลักร้อยคนภายในไม่กี่อาทิตย์ ขณะนี้มีการนำเชื้อไปตรวจวิเคราะห์ว่ากลายพันธุ์หรือไม่ แต่ยังไม่มีผลประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ

         “พวกเขาสงสัยกันว่า หลังจากคนติดเชื้อหรือรับเชื้อไวรัสตัวนี้เข้าร่างกายภายในไม่กี่ชั่วโมง ไวรัสตัวนี้ก็สามารถบุกเข้าไปถึงปอดอย่างรวดเร็ว ถ้าเป็นเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ทั่วไปใช้เวลา 2-3 วัน แต่ตัวนี้ภายในไม่กี่ชั่วโมงหรือแค่ 1-2 วันผู้ป่วยมีอาการทรุดรุนแรง เป็นสาเหตุทำให้คนไข้เสียชีวิตอย่างรวดเร็ว และต้องเข้านอนโรงพยาบาลจำนวนมาก อีกเรื่องหนึ่งที่แปลกใจกันคือ พบกลุ่มคนป่วยเป็นเด็กวัยรุ่น ปกติวัยนี้ร่างกายแข็งแรงไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงติดไข้หวัดใหญ่”

         ส่วนเรื่อง “ไวรัสหวัดใหญ่กลายพันธุ์” นั้น ผู้เชี่ยวชาญข้างต้นยอมรับว่ายังไม่มีใครรู้คำตอบแน่ชัด แต่โดยธรรมชาติของไวรัสไข้หวัดใหญ่จะกลายพันธุ์อยู่ตลอดเวลา ทุกครั้งที่เกิดไข้หวัดใหญ่ระบาดจะพบสายพันธุ์เดิมกลายพันธุ์จากเดิมไปเล็กน้อย เปรียบเทียบได้ว่าไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์

         “ปีที่แล้วองค์การอนามัยโลกคาดการณ์ไว้ว่าเชื้อไข้หวัดใหญ่ฮ่องกงเอช 3 เอ็น 2 จะระบาดในปีนี้ ถึงได้แนะนำเชื้อตัวนี้ไปผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เพื่อแจกจ่ายแก่ประชาชน และประเทศไทยก็ได้รับการแนะนำมาตั้งแต่ปีที่แล้วด้วย ขั้นตอนการสั่งซื้อวัคซีนต้องเตรียมล่วงหน้าอย่างน้อย 6-12 เดือน ประเทศไทยสั่งซื้อไปตั้งแต่ปีที่แล้วประมาณ 4 ล้านโดส เพื่อนำมาฉีดสำหรับปี 2017 ตอนนี้กำลังเชิญชวนให้กลุ่มเสี่ยงมาฉีด”

ปริศนา... ไข้หวัดใหญ่ฮ่องกง 2017 กับ “วัคซีนฟรี” ของไทย

         ศ.นพ.อมร อธิบายต่อว่า วัคซีนไข้หวัดใหญ่ประจำฤดูกาลปี 2017 ที่บริการฉีดฟรีให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงนั้น ประกอบด้วย 3 สายพันธุ์ ได้แก่ ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ “เอ มิชิแกน เอช1เอ็น 1”  (A Michigan H1N1) สายพันธุ์ “เอ ฮ่องกง เอช 3 เอ็น 2”  (A/ Hong Kong H3N2) และสายพันธุ์ “บี บริสเบรน (B Brisbane)

         เพราะฉะนั้นคนไทยที่วางแผนไปฮ่องกงควรฉีดวัคซีนป้องกันไว้ เนื่องจากเป็นไวรัสไข้หวัดใหญ่เอช 3 เอ็น 2 เหมือนกัน แม้ตัวเชื้อไวรัสอาจจะมีความแตกต่างกันบ้าง แต่เล็กน้อยมากจนไม่กระทบถึงประสิทธิภาพของวัคซีน

         เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขประกาศให้กลุ่มเสี่ยงเข้ารับบริการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ข้างต้นฟรีที่สถานพยาบาลของรัฐใกล้บ้านตั้งแต่ 1 มิถุนายน- 31 สิงหาคม 2560 คาดว่าจะมีผู้ไปฉีดประมาณ 3.5 ล้านคน

         สำหรับผู้ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสามารถไปฉีดได้ที่โรงพยาบาลรัฐและเอกชนในราคาเข็มละประมาณ 500-1,000 บาท

         ข้อมูล “กรมควบคุมโรคไ ระบุว่า ตั้งแต่ 1 มกราคม–17 กรกฎาคม 2560 พบผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ 4.3 หมื่นราย เสียชีวิต 5 ราย จังหวัดที่มีอัตราป่วยสูงสุด 5 จังหวัดแรก ได้แก่ ลำพูน เชียงใหม่ ระยอง กรุงเทพฯ และอุตรดิตถ์

         อาการที่ไข้หวัดใหญ่ต่างจากไข้หวัดธรรมดา ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร หรือจุกแน่นท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อจนแทบลุกจากเตียงไม่ได้

          ใครที่สนใจไปฉีดวัคซีนต้องเข้าใจตรงกันก่อนว่า การฉีดวัคซีนทุกชนิดไม่ได้หมายความว่าจะป้องกันได้ “ร้อยเปอร์เซ็นต์”

          วัคซีนส่วนใหญ่รับประกันผลเพียงร้อยละ 60–70 เท่านั้น กรมควบคุมโรคจึงพยายามเตือนให้ทุกคนดูแลสุขภาพตัวเอง อย่าคิดว่าฉีดแล้วปลอดภัยแน่นอน...

         ** ทีมข่าวรายงานพิเศษ **

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ