ภาพที่ปรากฏต่อสาธารณะของ "พันโท แพทย์หญิง กมลพรรณ ชีวพันธ์ศรี" หญิงสาวสวย วัยกลางคน รูปร่างสูงโปร่ง ทมัดทะแมง แข็งแรงดี เพราะออกกำลังกายสม่ำเสมอ
รู้จักกับ “พันโท แพทย์หญิง กมลพรรณ” คุณหมอชื่อดัง ยอดนักต่อสู้ คัดค้านเพื่อการปฏิวัติการศึกษา ในยุคก่อนประเทศไทยจะมี “กฏหมายแม่ด้านการศึกษา” หรือ "พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542"
นับจากปี 2543 หลังจากมี พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ 2542 ได้ขยายบทบาทการต่อสู้ด้านการศึกษาให้กับลูกๆ ของเธอ เป็นลูกของเพื่อนบ้าน ลูกของคนรู้จัก และปัจจุบันใครก็ตามที่เดือดร้อน แต่ไม่กล้าออกหน้าไปต่อกรกับโรงเรียนหรือหน่วยงานของรัฐ ไม่ได้รับความเป็นธรรมในทุกเรื่อง หากมาร้องขอความช่วยเหลือที่ "เครือข่ายพ่อแม่-เยาวชนเพื่อการปฏิรูปการศึกษา" เธอพร้อมที่จะออกหน้าไปต่อสู้ให้
พันโท แพทย์หญิง กมลพรรณ ชีวพันธ์ศรี
การต่อสู้เพื่อการปฏิรูปการศึกษาไทย ของ“หมอกมลพรรณ”ดุเดือดมากขึ้น เมื่อครั้งที่เธอเป็นแกนนำให้ตรวจสอบกรณีข้อสอบเอ็นทรานซ์ปี 2547 รั่ว ซึ่งมีการพูดกันว่าลูกคนดัง ได้รับประโยชน์จากข้อสอบรั่วครั้งนี้ ตลอดจนเป็นแกนนำในการคัดค้านการใช้ระบบแอดมิดชั่น และจีพีเอ 50 เปอร์เซ็นต์ในการพิจารณารับเด็กนักเรียนเข้ามหาวิทยาลัย
"หลักสูตรการเรียน การสอนของกระทรวงศึกษาธิการ ยัดเยียดเรียนวิชาการหนักในห้องเรียน เด็กเหมือนถูกขัง ไม่ค่อยเหมาะสมกับพัฒนาการทางการเรียนรู้ของเด็กไทยที่เรียนหนักเกินไป เมื่อเทียบกับประเทศที่ประสพความสำเร็จในการปฏิรูปการศึกษา ทำให้สมองซีกซ้ายและสมองซีกขวาทำงานไม่สมดุลย์กัน"พันโท พญ.กมลพรรณ ตั้งข้อสังเกต
“หมอกมลพรรณ” ยังสวมหมวกอีกใบ ในฐานะเป็น"แกนนำกลุ่มเครือข่ายประชาชนปกป้องประเทศ สภาธรรมาภิบาล สภาปฏิรูปพลังงานไทย" เรียกร้องให้หยุดสัมปทานปิโตรเลียมครั้งที่ 21 เพื่อคืนความสุขให้กับประชาชน
"หมออยากเห็นเด็กไทยมีความสุขในการเรียน มีความสุขในการเรียนรู้ อย่างสนุกสนาน เรียนหนังสือแล้วแล้วเด็กได้นำไปใช้ใช้ชีวิตจริง ครูไม่ทิ้งเด็ก ครูไม่กั๊กวิชา ครูไม่หาผลประโยชน์จากเด็ก ผอ.ร.ร.ไม่วิ่งเต้น ไม่ทิ้งครู ไม่ทิ้งเด็ก ไม่ทิ้งร.ร. แต่ทุ่มเทในการพัฒนาสนับสนุนให้ครูทำงานเพื่อพัฒนาคุณภาพของเด็กไทย"
ดูเหมือนว่า 18 ปี หลังมี พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ แต่การปฏิรูปการศึกษาไทย ยังไปไม่ถึงฝั่งฝน เมื่อมีการช่วงชิง “อำนาจ-เงิน” เข้ามาขั้นกลางระหว่าง“เด็ก”และ“คุณภาพการศึกษา”
ณ วันนนี้ "พันโท แพทย์หญิง กมลพรรณ ชีวพันธ์ศรี" ในฐานะ "นายกสมาคมเครือข่ายพ่อแม่-เยาวชนเพื่อการปฏิรูปการศึกษา" มีข้อเสนอแนวทางเพื่อการปฏิรูปการศึกษาไทย ผ่านบรรได 6 ขั้น ดังนี้
บรรไดขั้นที่ 1. ต้องจัดต้องคณะทำงานเพื่อจัดทำโรดแมบการศึกษา ห้ามเปลี่ยน แม้นเปลี่ยนรัฐบาล เปลี่ยนรัฐมนตรีศึกษาธิการ ยกเว้นมีผลวิจัยเสียหายชัดเจน ประกอบด้วยหลายภาคส่วน เช่น สภาวิชาชีพ แพทย์ด้านพัฒนาการเด็ก จิตวิทยาและสาขาที่เกี่ยวข้อง ผู้ที่เกี่ยวข้องทางการศึกษา กลุ่มที่ทำการศึกษาสำเร็จ นักวิชาการ ผู้นำศาสนา(กลุ่ม ร.ร.สาธิต ร.ร.นานาชาติ หรือ ร.ร.ดีเด่นดังต่างๆ)
บรรไดขั้นที่ 2.ตั้งศูนย์พัฒนามนุษย์แห่งชาติ ต้องประกอบด้วยหลายภาคส่วนรวมถึง ICT มีหลายกลุ่มในการทำงาน (ไม่เอาคนเก่าๆ แก่ๆ) ปรับปรุงการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย ไม่ใช่ แบบปี 2561 ที่ขั้นแรกมีโควต้าด้วย เพราะจะเกิดเหมือนการรับแปะเจิ๊ยะ โรงเรียน และใช้เส้นสาย
"มีคณะกรรมการจัดทำคู่มือที่ทำให้เด็กคิดเป็น เป็นคนดี รักบ้านเมือง มัทักษะชีวิต มีคณะกรรมการปรับลดเกณฑ์ลดหลักสูตรทางการศึกษาในมหาวิทยาลัย และมีคณะกรรมการปรับปรุงเกณฑ์การประเมินผล ทั้งโรงเรียน ครู เด็ก โรงเรียน"
บรรไดขั้นที่ 3. พัฒนาวิธีการสอนกระบวนการเรียนการสอน ต้องทำคู่มือการเรียนการสอน คิดเป็น เป็นคนดี รักชาติ และมีทักษะชีวิต บรรจุใน IT SOFT WARE บรรไดขั้นที่ 4. ปรับปรุง แก้ไขระบบการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย ใช้สอบอย่างเดียว สอบไม่มากวิชา
บรรไดขั้นที่ 5.ปรับลดหลักสูตรการการศึกษา ลงครึ่งหนึ่ง แยกเรียนตามความถนัด ตามพรบ การศึกษา มาตรา 22 มาตรา24 และมาตรา 28 ให้มีสาขาที่หลากหลายมากขึ้น พร้อมยกเลิกประกาศ นายอดิศัย โพธารามิก อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่ยุบรวมสายวิทย์สายศิลป์ เปลี่ยนเป็นให้เด็กแยกสายเรียนตามความถนัดมากขึ้น
บรรไดขั้นที่ 6. เป้าหมาย ของการจัดการศึกษาคือ "เด็กหนึ่งคน หนึ่งนวัตกรรม ต่อเทอม และสองภาษาต่างประเทศ เก่ง IT มีวินัย ใจให้ส่วนรวม หรือมีจิตอาสา ไม่เห็นแก่ตัว
0 กมลทิพย์ ใบเงิน 0 รายงาน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง