คอลัมนิสต์

ปั้นเด็กให้เป็นนักกีฬาแบบ “โปรเม”เอรียา จุฑานุกาล

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ปั้นเด็กให้เป็นนักกีฬาแบบ “โปรเม”เอรียา จุฑานุกาล

                 ข่าวใหญ่ในวงการกีฬาที่สร้างความสุขและความภาคภูมิใจให้แก่คนไทยทั้งชาติในเวลานี้ คือ “โปรเม” เอรียา จุฑานุกาล นักกอล์ฟหญิงชาวไทยวัย 21 ปี ผู้คว้าแชมป์แอลจีพีเอ มานูไลฟ์ แอลพีจีเอ คลาสสิก เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และหลังจากมีการจัดอันดับนักกอล์ฟหญิง ปรากฏว่า โปรเม ขึ้นแท่นนักกอล์ฟหญิงมือหนึ่งของโลก

                “โปรเม” นับเป็นนักกีฬามืออาชีพรุ่นใหม่ที่กำลังเดินตามรอยนักกีฬาชาวไทยอย่าง “บอล” ภราดร ศรีชาพันธุ์ นักเทนนิส หรือ “วิว” เยาวภา บุรพลชัย นักเทควันโด รวมถึง “เมย์” รัชนก อินทนนท์ นักแบดมินตันที่เคยสร้างกระแสกีฬาฟีเวอร์ จนมีพ่อแม่หลายคนพาลูกไปเรียนกีฬาตามกันมาแล้ว

                รศ.ดร.วิชิต คนึงสุขเกษม อดีตคณบดีคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายถึงสิ่งที่เหมือนกันระหว่างครอบครัวของโปรเม กับนักกีฬารุ่นพี่อย่างภราดร คือเริ่มต้นจากการผลักดันของครอบครัว จนประสบความสำเร็จ

                “ผมรู้จักครอบครัวศรีชาพันธุ์มาก่อน คือเริ่มต้นเลยพ่อเขาเห็นลูกมีแววเทนนิส เลยเสี่ยงโชคย้ายลูกมาเรียนในกทม. จากเดิมอยู่ที่ขอนแก่น ยังไม่รวมต๋อง ศิษย์ฉ่อย อะไรพวกนี้ คือพ่อแม่เขาซื้อโต๊ะสนุ้กให้ลูกเล่นตั้งแต่เด็กเลย” รศ.ดร.วิชิตกล่าว

                    สำหรับโปรเม มีจุดเริ่มต้นจากพ่อขายอุปกรณ์กอล์ฟ ตอนเล็กๆ จึงได้เข้าไปคลุกคลีและไปเล่นกีฬาด้วย ต่อมาพ่อแม่เห็นว่าลูกสาวทั้งสองคน ทั้งเม และโม (พี่สาว) มีแวว เลยส่งไปเรียนกอล์ฟ ซึ่งรศ.ดร.วิชิต บรรยายแบบติดตลกถึงกระบวนการหลังจากนั้นว่า “บ้าเลือดมาก”

                  “ผมเคยอ่านบทสัมภาษณ์ของพ่อเขา คือถึงขั้นขายรถขายบ้าน เอาเงิน 20 ล้านพาลูกซ้อม ทัวร์ ไปเรียนกอล์ฟกับโปรต่างชาติ ค่าเรียนชั่วโมงละเป็นพันเหรียญ จ้างนักจิตวิทยากีฬามาบำบัดสภาพจิตใจเวลาแข่ง ตัวโปรเมเองก็เคยสัมภาษณ์ว่าพ่อขายหมดทุกอย่าง เหมือนหลังพิงฝา ต้องทำให้ได้ เลยมีความมุ่งมั่นมานะจนมีทุกวันนี้” รศ.ดร.วิชิตกล่าว

                     ความสำเร็จของโปรเม จึงเกิดจากการมองการณ์ไกลของครอบครัว และความเชื่อมั่นของพ่อแม่ที่มีต่อตัวลูก อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าพ่อแม่ทุกคนจะสามารถสนับสนุนลูกได้ถึงขนาดนี้ ถ้าไม่มีเงินสนับสนุนจริงๆ ก็เห็นจะเป็นเรื่องยาก

               รศ.ดร.วิชิตชี้ว่า การ “เห็นแวว” เด็ก จะต้องเริ่มต้นมาตั้งแต่เด็กมีอายุน้อยๆ ต้องมีผู้จัดการ หรือที่เรียกว่า “แมวมอง” คอยดูเด็กที่มีศักยภาพ และสนับสนุนให้ใช้ชีวิตเส้นทางนักกีฬาได้อย่างเต็มที่ แต่ระบบเหล่านี้ วงการกีฬาของไทยยังขาด ทั้งในเชิงการคัดเลือก หรือ “เห็นแวว” เด็ก การฝึกฝน รวมไปถึงการสนับสนุนด้านองค์ความรู้ เทคโนโลยีอุปกรณ์ต่างๆ

              “อย่างจีนเนี่ยเป็นประเทศที่หวังสูง ต้องการเป็นแชมป์โลก ดังนั้นเขาจะคัดเด็ก ฝึกเด็กเคี่ยวมาก มีโรงเรียนกีฬาเยอะแทบทุกมณฑล เข้ามาเรียนจบมัธยมปุ๊บก็เข้ามหาวิทยาลัยกีฬาต่อได้เลย ส่วนของไทยผมไม่แน่ใจว่าโรงเรียนกีฬาเราจะเข้มข้นมากขนาดนั้นหรือเปล่า” รศ.ดร.วิชิตอธิบาย

              ขณะเดียวกัน การพัฒนาด้านองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์การกีฬาของไทยก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร แม้ว่าจะมีการพัฒนาขึ้นในด้านสถาบันการศึกษาต่างๆ มีการเปิดวิชาการเรียนการสอนด้านวิทยาศาสตร์การกีฬามากขึ้นจริง แต่เป็นการเปิดสอนโดยที่ไม่ได้สอนให้รู้ลึก บางสถาบันเองก็ไม่มีเครื่องมือเพียงพอ และงานวิจัยที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถเอามาใช้ได้จริง

              “ผมเสนอว่าทางการกีฬาแห่งประเทศไทยควรจะต้องตั้งโปรเจกท์พิเศษขึ้นมาเพื่อ groom เด็กให้มีศักยภาพเพิ่มขึ้น ต้องฝึกฝนจริงจังจากโค้ชที่มีความสามารถ คือต้องมีงบประมาณพิเศษขึ้นมาเพื่อเด็กที่มีพรสวรรค์ มีความสามารถจริงๆ แล้วโครงการแบบนี้ต้องไม่ลูบหน้าปะจมูก ต้องเป็นแผนระยะยาว ของโปรเมนี่ใช้เวลาเป็น 10 ปีถึงจะเห็นผล เราต้องมีคนทำ คน groom เด็กและติดตามผล” รศ.ดร.วิชิตอธิบาย

               อย่างกรณีของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเองก็มีโควตาคัดเลือกนักกีฬา หรือเด็กที่มีเกียรติประวัติทางด้านกีฬาดีอยู่ทุกปี และมีการสนับสนุนด้านการฝึกซ้อม รวมถึงด้านการเรียน เช่น การจัดชั้นเรียนพิเศษให้เด็กนักกีฬาที่เรียนไม่ทัน เพราะต้องซ้อมกีฬา เป็นต้น

              นอกจากนี้ เมื่อปีที่ผ่านคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่าง พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ทำให้ประเทศไทยกำลังจะมีการจัดตั้ง มหาวิทยาลัยกีฬาแห่งชาติ โดยยกระดับจากสถาบันการพลศึกษาในสังกัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และจะมีการทำงานด้านการศึกษา และเป็นศูนย์ฝึกอบรมบุคลากรทางกีฬา และกำลังจะเริ่มเปิดสอนในเดือนสิงหาคมนี้

                ซึ่ง รศ.ดร.วิชิต เองก็ได้ฝากข้อเสนอแนะแก่ผู้เกี่ยวข้องไว้ด้วยว่า“มหาวิทยาลัยกีฬามีปรัชญา วัตถุประสงค์ทำให้วงการกีฬาเจริญรุ่งเรืองขึ้น ผมขอฝากไว้ว่าต้องพยายามทำตามปรัชญานี้ให้จริง อย่าทำผิดเพี้ยนไป ต้องสนับสนุนนักกีฬา บุคลากรด้านกีฬาให้เต็มที่ และต้องวางการแนวทางไว้ให้ดีว่าจะไปให้ทิศทางใด เพื่อตอบโจทย์การพัฒนากีฬาของประเทศไทยให้ได้”

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ