คอลัมนิสต์

รวบมือบึ้ม! จับตา “โยงใคร”อย่ามองข้าม “หมาป่าไทย”

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

บึ้มเขย่า คสช. เนื่องในวันครบรอบ 3 ปี แห่งการทำรัฐประหาร ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย


          เหตุเกิดเมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 22 พฤษภาคม 2560 บริเวณชั้น 1 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 80 ปี รพ.พระมงกุฎเกล้า ถนนราชวิถี แขวงอนุสาวรีย์ เขตพญาไท กทม. แรงระเบิดทำให้เศษกระจกหลายบานแตกกระจายเกลื่อน และผู้นั่งรอใช้บริการถูกเศษกระจกได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก

          จากวันนั้น ทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ได้ติดตามคนร้ายลอบวางระเบิด รพ.พระมงกุฎเกล้า อย่างไม่ลดละ จนได้เบาะแส และเข้าตรวจค้นบ้านพักภายในหมู่บ้านอัมรินทร์นิเวศน์ 1 ซ.รามอินทรา ซ.3 เขตบางเขน กทม. ภายในบ้านพัก เจ้าหน้าที่พบแผงวงจรระเบิดหรือไอซีไทเมอร์หลายชิ้น โดยหน่วยอีโอดี ยืนยันในเบื้องต้นว่า เป็นแผงวงจรชนิดเดียวกับหลักฐานที่พบในเหตุการณ์ระเบิด รพ.พระมงกุฎเกล้า 

          นอกจากนี้ ยังพบว่าในบ้านหลังดังกล่าวมีการประกอบวัตถุระเบิดอีก 4 แท่งทำมาจากท่อพีวีซีเตรียมพร้อมไว้เรียบร้อย ซึ่งถ้าหากมีการใส่ดินดำจะทำให้วงจรระเบิดทำงานได้อย่างครบถ้วน

          บ้านหลังดังกล่าว เป็นของนายวัฒนา (สงวนนามสกุล) อายุ 62 ปี จบวิศวกรรมไฟฟ้า ซึ่งเป็นอดีตพนักงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง

          แหล่งข่าวจากหน่วยงานความมั่นคง เปิดเผยว่า ชายวัย 62 น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ระเบิด รพ.พระมงกุฏเกล้า เนื่องจากภายหลังจากตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดของ รพ.พระมงกุฎเกล้า ในวันเกิดเหตุ พบบุคคลต้องสงสัยเดินผ่านเข้ามาทางประตูทางเข้าของโรงพยาบาล มุ่งหน้ามาที่ห้องวงษ์สุวรรณ มีลักษณะผอมสูงประมาณ 160-165 ซม. ผมยาวประบ่า สวมเสื้อยืดคอปกสีดำ กางเกงขายาวสีดำ และรองเท้าแตะ โดยที่มือซ้ายถือถุงหิ้วคล้ายถุงผ้าสีขาว มีสิ่งของโผล่ออกมาลักษณะคล้ายดอกไม้ใส่แจกัน เดินตรงเข้ามาแล้วเลี้ยวเข้าไปในห้องวงษ์สุวรรณ ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีก่อนเดินออกมา โดยไม่ถือสิ่งของดังกล่าวออกมาด้วย 

          ขณะนี้ เจ้าหน้าที่ได้นำตัวชายคนดังกล่าวมาสอบสวนที่มณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11) โดยบรรยากาศเป็นไปด้วยความเครียด ซึ่งชายคนดังกล่าวยอมรับว่าไม่ชอบทหาร ไม่ชอบรัฐบาล แต่ปฏิเสธว่า ไม่ได้เป็นผู้วางระเบิด แต่ทางฝ่ายความมั่นคงคาดว่าไม่ได้ทำคนเดียว โดยอาจมีทหารบางกลุ่มร่วมด้วย

          มีรายงานข่าวว่า “บิ๊กแดง” พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ได้ลงพื้นที่ไปตรวจหลักฐานด้วยตัวเอง แต่เวลาต่อมาปฏิเสธว่า ไม่ได้เป็นผู้นำชุดปฏิบัติการเข้าตรวจค้นจับกุมชายวัย 62 และขอให้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้แถลงข่า่ว

          ย้อนไปในช่วงหลังเกิดเหตุใหม่ๆ “พล.ท.อภิรัชต์” ระบุว่า ผู้ต้องสงสัยมีหลายกลุ่มทั้งอยู่ในประเทศ นอกประเทศ รวมไปถึงผู้เสียประโยชน์ ส่วนตัวทราบแล้วว่าเป็นใคร มีด้วยกัน 3-4 กลุ่ม และได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชารับทราบแล้ว 

          ส่วน พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก ได้ตั้งข้อสังเกตหลายประเด็น และได้กล่าวพาดพิงถึง วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ “โกตี๋” แกนนำวิทยุเสื้อแดง ที่ปัจจุบันหลบหนีคดีความมั่นคง อยู่ในกัมพูชา

          กรณี “โกตี๋” ได้มีเสียงวิจารณ์ย้อนศร “พล.อ.เฉลิมชัย” ทำนองว่า โยนบาปให้โกตี๋ หรือโกตี๋เป็นเหยื่อของความขัดแย้งในกองทัพ

          แหล่งข่าวของหน่วยข่าวกรองไทย ที่เฝ้าติดตามการส่งกระจายเสียงของ “กลุ่มวิทยุใต้ดิน” จากฝั่งลาว ตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน 2560 กลับมองว่า มีความเชื่อมโยงกันในลักษณะ “เครือข่ายทางความเชื่อ” เพราะโกตี๋ ได้เปิดไลน์ให้สมาชิกได้โทรเข้าไปแสดงความเห็น ระหว่างการจัดรายการช่วงกลางคืน

          เนื้อหาที่กลุ่มโกตี๋ ในนามสหพันธรัฐไท นำเสนอผ่านรายการของ “ลุงสนามหลวง” (ชูชีพ ชีวะสุทธิ์) หรือ “สหายหมาน้อย” (โกตี๋) ก็มุ่งปลุกระดมให้สมาชิกลุกขึ้นมาก่อการ “ต้าน คสช.” ในทุกรูปแบบ และทำกันเองโดยไม่ต้องรอการชี้นำจากใคร?

          หากคนใดหรือกลุ่มใด สร้างผลงานได้แล้ว ให้ส่งภาพมาทางไลน์ เพื่อจะได้นำผลงานไปโชว์ทางเฟซบุ๊กของกลุ่มสหพันธรัฐไท 

          กรณีเผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติฯ อ.ชนบท จ.ขอนแก่น เป็นตัวอย่างของปฏิบัติการตามคำชี้แนะของ “กลุ่มวิทยุใต้ดิน” เพราะหลังจากมีการเผาแล้ว ก็มีคลิปไฟไหม้ซุ้มเฉลิมพระเกียรติฯ เผยแพร่ทางยูทูบของกลุ่มสหพันธรัฐไท พร้อมกันนั้น โกตี๋ ยังกล่าวชื่นชมการทำงานของกลุ่มสมาชิกสหพันธรัฐไท

          ต่อมา ตำรวจได้สืบทราบผู้ต้องสงสัยก่อเหตุทั้งหมด 6 คน เป็นคนลงมือร่วมกัน 5 คน สามารถจับกุมได้แล้ว 4 คน ทั้งหมดเป็นชาว อ.ชนบท ซึ่งผู้ที่ถูกจับกุมตัวได้อ้างว่าได้รับจ้างให้ก่อเหตุคนละ 200 บาท จากเสี่ยปรีชา (สงวนนามสกุล) อายุ 45 ปี เจ้าของโรงงานยาสมุนไพร 

          บทเรียน “เผาซุ้มเฉลิมพระเกียรติ” ทำให้กลุ่มสหพันธรัฐไท ถูกโจมตีโดย “คนอุดมการณ์เดียวกัน” ว่า เป็นพวกดีแต่เห่า ยุยงให้คนอื่นไปทำ เมื่อเกิดความผิดพลาด ถูกจับกุมก็ไม่รับผิดชอบอะไร

          เรื่องนี้ ร้อนถึง “แยม ไฟเย็น” หรือ รมย์ชลี สินสืบผล ต้องโพสต์เฟซบุ๊กอธิบายความว่า

          "บางคนบอกพวกอยู่นอกประเทศก็ดีแต่เห่า ไม่เห็นจะทำอะไรได้สักที คำถามคือ ในเมื่อคนในประเทศยังไม่พร้อม และยังไม่ให้ความร่วมมือ แล้วมันจะทำอะไรได้มากไปกว่านี้หรือ??..

          คนที่เขาอยู่นอกประเทศส่วนใหญ่ เขาก็ทำอย่างสุดความสามารถแล้ว..ทำกันจนไม่รู้จะเอาชีวิตเลือดเนื้อลมหายใจและอนาคตไปซุกหัวอยู่ตรงไหนได้..ชีวิตมีแต่ความหวาดผวา..คิดว่ามีความสุขกันหรือยังไง..

          ตอนที่พวกเราพูดๆ หน้าไมค์ บางคนก็บอกว่าถ้าคนในไทย เป็นอะไรไป ทางพวกเราจะรับผิดชอบได้ไหม..งั้นขอถามกลับไปมั่งว่า..แล้วถ้าสมมติแยมวันดีคืนดีไปอยู่ในหลุม..คนในไทยมีใครจะรับผิดชอบในตัวแยมได้บ้าง..

          แยมเคยพูดในรายการนะว่า..ใครไม่พร้อมอย่าเพิ่งทำอะไร..เพราะการไม่พร้อม มันนำมาซึ่งความเสี่ยง..ปล่อยให้คนที่พร้อมเขาทำ..บอกเสมอว่าเวลาจะทำอะไรให้นึกถึงความปลอดภัย ทำอย่างรอบคอบ.."

          สิ่งที่ “แยม ไฟเย็น” พูดถึงการปฏิบัติการทำนองว่า “ใครไม่พร้อมอย่าเพิ่งทำอะไร..เพราะการไม่พร้อม มันนำมาซึ่งความเสี่ยง..ปล่อยให้คนที่พร้อมเขาทำ” ย่อมสะท้อนถึงความจริงที่ว่า มีคนบางกลุ่ม ที่ฟังวิทยุใต้ดินทุกวัน จนเกิดอาการเสพติดความรุนแรง และหลงกระทำการที่ “เสี่ยงภัย” ตามคำชี้แนะของกลุ่มสหพันธรัฐไท

          ลักษณะการปลุกระดมเช่นนี้ ทำให้แหล่งข่าวในหน่วยข่าวกรองไทย เชื่อว่า มีคนซึมซับการใช้ความรุนแรงจากวิทยุใต้ดิน จึงปฏิบัติการคนเดียว เรียกว่า “โลนวูล์ฟ” ที่แปลตรงๆ แปลว่า “หมาป่าโดดเดี่ยว” หรือ “จิ้งจอกเดียวดาย” 

          แหล่งข่าวคนเดิมกล่าวว่า ขณะนี้ กลุ่มสหพันธรัฐไท ทั้ง 7 คน ได้ยุติการส่งกระจายเสียงในลาว และย้ายมาอยู่ในกัมพูชาหมดแล้ว ซึ่งผู้ที่เคลียร์พื้นที่ให้คือ จักรภพ เพ็ญแข โดยการมาอาศัยอยู่ในกัมพูชา มีความยากลำบากกว่าอยู่ในลาว แต่พวกเขาก็ยังหาทางส่งกระจายเสียงผ่านช่องยูทูบ

          ในเบื้องต้น “โกตี๋” กับพวกอีก 3-4 คน ยังหลบซ่อนตัวอยู่ในเขตชนบทของกัมพูชา เนื่องจากหวั่นเกรงความไม่ปลอดภัย เพราะที่ต้องออกจากลาว ก็ด้วยเหตุหนีการไล่ล่า

          สำหรับคดีระเบิด รพ.พระมงกุฎเกล้า ก็ต้องรอการสอบสวน “ผู้ต้องสงสัย” ว่า เป็นผู้ลงมือกระทำการจริงหรือไม่? ทำโดยลำพัง หรือทำเป็นกลุ่มขบวนการ

          ฝ่ายความมั่นคงจะต้องหาหลักฐานมาแสดงให้ชัดๆ มิเช่นนั้นแล้ว ก็จะเจอคำครหาว่า จับแพะอยู่ร่ำไป? 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ