คอลัมนิสต์

บาดแผลที่รอ...เยียวยา

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

สำนักข่าวเนชั่น-สุพิชฌาย์ รัตนะ..เรื่อง / จรูญ ทองนวล...ภาพ

     บึ้ม...คาร์บอมบ์ห้างบิ๊กซีปัตตานี เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม มีคนเจ็บ 61 ราย ปรากฏการณ์กระชากความรู้สึกที่ผุดขึ้นมาในวินาทีที่โลกโซเชียลกระหึ่มเผยแพร่ภาพเหตุการณ์แทบทุกมุมมอง

     หนึ่งสัปดาห์เต็มที่ “วรกมล ชูวงศ์” หรือ “บิว” ในวัย 39 ปี ผู้จัดการฝ่ายป้องกันการสูญหายห้างบิ๊กซีปัตตานี ต้องเปลี่ยนสถานะเป็นคนเจ็บ ผู้ต้องนอนนิ่งๆ บนเตียงคนป่วยภายในห้องพักโรงพยาบาลปัตตานีเพื่อรอให้แผลภายในช่องท้องสมานกันเสียก่อน หลังจากที่เธอผ่านพ้นวิกฤติเฉียดตายจากเศษกระจกที่พุ่งทะลุท้องตัดเข้าที่ลำไส้จนขาด ความเจ็บปวดที่ได้รับแสนสาหัสนี้ทำให้การข่มตานอนในแต่ละคืนกลายเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก

บาดแผลที่รอ...เยียวยา

     ทันทีที่หลับตา...บึ้ม!!..ภาพและเสียงเหตุการณ์วินาทีระเบิดจากรถยนต์ที่ซุกซ่อนอาวุธทำลายล้างมหาประลัยน้ำหนักมากกว่า 100 กิโลกรัมหน้าห้างสรรพสินค้าบิ๊กซีปัตตานีก็เข้ามากวนใจทำให้ต้องหวาดผวา...ฤทธิ์ยาเท่านั้นที่จะช่วยบรรเทาอาการตื่นตระหนกจากประสบการณ์เฉียดตายครั้งนี้ได้

     แม้เธอจะนอนอยู่บนเตียงคนเจ็บแต่ใจที่เจ็บกว่าก็สุดทนกับพฤติกรรมของคนร้ายที่ก่อเหตุ โดยยังจำทุกวินาทีก่อนและหลังเหตุระเบิดได้เป็นอย่างดี

     “ตอนนั้นมีเจ้าหน้าที่มาบอกว่าพบรถยนต์ต้องสงสัยมาจอดด้านหน้าอาคาร จึงรีบกันคนออกห่างจากจุดนั้น พร้อมกับเช็กข้อมูลในระบบความปลอดภัยกรณีรถต้องสงสัยในพื้นที่ แต่ปรากฏว่ารถคันนี้อยู่ในสถานะปกติและเพิ่งมาทราบภายหลังว่าคนร้ายเพิ่งขโมยมาแล้วนำรถมาก่อเหตุทันที” เธออธิบายเหตุการณ์สำคัญ

     สตรีที่เพิ่งรอดตายจากระเบิดรายนี้หยุดชะงัก ขณะจะเล่าวินาทีสำคัญเพื่อเรียกสติและสะกดกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล จากนั้นเธอเริ่มเล่าต่อว่า บิวรีบตะโกนบอกลูกค้าที่อยู่ในโซนด้านในห้างให้ออกห่างจากจุดที่รถจอด แต่พฤติกรรมของคนยิ่งบอก ก็ยิ่งอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำให้พื้นที่การกันคนในภาวะฉุกเฉินแบบนั้นไม่ได้อยู่ในจุดที่คาดหวังไว้ แม้จะทราบดีว่าระยะห่างที่ปลอดภัยที่สุดต้องระยะ 100-200 เมตร

บาดแผลที่รอ...เยียวยา

     “วินาทีนั้นทำดีที่สุดได้เท่านั้นจริงๆ เพราะช่วงเวลานั้นทุกอย่างจะไวมาก รถยนต์ที่เห็นจอดอยู่ดีๆ ระเบิดคาตา สิ้นเสียงดังของระเบิดกลับมีเปลวไฟและกลุ่มควันปกคลุมพื้นที่ห้าง จากนั้นไม่นานภาพของคนเจ็บและเสียงร้องไห้ขอความช่วยเหลือจึงตามมาเป็นระลอก” เธอหยุดเล่าพร้อมสะอื้นไห้ด้วยความขมขื่นใจ

     และภาพเหล่านี้เองที่ยังวนเวียนหลอกหลอนในยามหลับตา นับจากนี้ไปต้องใช้เวลาอีกกว่า 2 เดือนที่เธอต้องทนรับสภาพบอบช้ำทั้งกายและใจ

     เหตุการณ์คาร์บอมบ์บิ๊กซีปัตตานีครั้งนี้ยังสร้างความทรงจำอันแสนเจ็บปวดให้แก่ “มนทิวา อรุณทัด” ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บอีกราย... บาดแผลฉกรรจ์บริเวณลำคอที่น่าจะเกิดจากถูกเศษกระจกบาดเป็นแผลลึกแพทย์ต้องเย็บมากกว่าสิบเข็ม ขณะที่ตามร่างกายพบบาดแผลจากเศษกระจกและสะเก็ดระเบิดอีกนับไม่ถ้วน ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจึงเป็นสิ่งที่ลืมไม่ลง

     ผู้บาดเจ็บรายนี้ มีโรคประจำตัวที่ต้องระวังอย่าให้เสียเลือด นั่นคือโรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือโรคเอสแอลอี ที่เธอพยายามรักษาตัวเองมานานร่วม 9 ปีแต่เพียงแค่ไม่กี่นาทีเลือดของเธอซึมไหลออกจากร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลเล็กใหญ่จนเธอเองเกือบสิ้นสติ

     “วันนั้นไปซื้อของกับเพื่อน ขณะกำลังจะเดินออกจากห้าง เจ้าหน้าที่มากั้นไม่ให้ออก พร้อมบอกว่ามีรถต้องสงสัยจอดอยู่ ตอนแรกไม่คิดอะไรแค่ชะโงกหน้าไปดู จากนั้นก็หันหลังกลับแต่ไม่ทันการณ์ บึ้ม!! เสียงระเบิดดังขึ้นตามหลัง แรงอัดของอานุภาพระเบิดทำให้ล้มทั้งยืน วินาทีนั้นมีเลือดไหลออกจากข้อมือขวาตำแหน่งเส้นเลือดใหญ่จึงรีบใช้มืออีกข้างกดบาดแผลไว้ กลัวเลือดไหลหมดตัว โดยไม่รู้เลยว่าบาดแผลที่ลำคอฉกรรจ์กว่าหลายเท่า เมื่อรู้ตัวอีกทีร่างกายที่ชุ่มเลือดก็มีคนมาช่วยพยุงให้ลุกขึ้นในสภาพเลือดท่วมตัว” 

     มนทิวา เล่าวินาทีเฉียดตาย ก่อนจะกล่าวทิ้งท้ายให้ขนลุกว่า เลือดที่เสียไปให้กับระเบิดคาร์บอมบ์น่าจะมีปริมาณมากกว่าที่เธอพยายามรักษามาร่วมสิบปี เธอบอก “เสียดายจัง” แม้ความเศร้าจะเข้ามาปกคลุมหัวใจแต่ก็ยังเผยรอยยิ้มให้ปรากฏบนใบหน้าในประโยคทิ้งท้ายว่า โชคดีที่ยังมีชีวิตรอดให้อยู่สู้ชีวิตต่อไป

     ความทุกข์ทรมานใจของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์คาร์บอมบ์ครั้งนี้ ต้องมาช่วยกันส่งกำลังใจให้แก่ครอบครัวของเด็กหญิงวัย 4 ขวบ 6 เดือนรายนี้ “น้องฟีการ์” หรือ ด.ญ.นูรซาฟีการ์ สุรอระยอ เหยื่อผู้บริสุทธิ์ดั่งผ้าขาวที่ไร้รอยตำหนิแม้แต่น้อย เด็กน้อยรายนี้ต้องนอนบนเตียงที่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ห้อยสายระโยงระยางไปทั่วร่างเพื่อช่วยชีวิตให้เด็กน้อยที่เป็นดั่งเมล็ดพันธุ์แห่งอนาคตรายนี้มีชีวิตรอดต่อไปให้ได้

     อาการบาดเจ็บจากตับและไตฉีกขาด ผลกระทบจากแรงอัดของระเบิดคาร์บอมบ์น้ำหนักมากกว่า 100 กิโลกรัมที่เข้ามาปะทะร่างเด็กน้อยขณะกำลังเดินไปกินไอศกรีมที่ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซีปัตตานี เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา เกือบคร่าลมหายใจผู้บริสุทธิ์รายนี้ไป

     หัวอกของ “รอบีฮา เจะแม” ผู้เป็นแม่ของน้องฟีการ์ที่กำลังตั้งครรภ์น้องอีกคนที่อยู่ในครรภ์ระยะ 7 เดือน กินไม่ได้นอนไม่หลับนั่งเฝ้าลูกน้อยอยู่ข้างเตียงตลอด 3 วันในห้องไอซียู และพอจะโล่งใจขึ้นมาบ้างเมื่อทีมแพทย์ย้ายลูกน้อยมาพักฟื้นที่ห้องผู้ป่วยติดตามอาการตลอดช่วง 4 วันที่ผ่านมา

บาดแผลที่รอ...เยียวยา

     ความรู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ที่แม่คนหนึ่งต้องทนเฝ้ามองร่างเด็กน้อยนอนรอคอยความช่วยเหลือ ตอกย้ำให้ความเศร้าสลดใจครอบงำอีกครา เมื่อถึงวันเปิดเทอมแรก 16 พฤษภาคม วันที่ลูกสาวตัวน้อยควรจะได้มีโอกาสสวมใส่ชุดนักเรียนเข้าเรียนในชั้นอนุบาล 1 โรงเรียนเทศบาล 3 เขตเทศบาลเมืองปัตตานีเป็นครั้งแรกในฐานะนักเรียนคนใหม่ ที่มีพี่ชายวัย 10 ขวบเป็นผู้จูงมือน้องสาวไปเรียนเหมือนพี่น้องครอบครัวอื่นๆ แต่เช้าวันนี้แม่ต้องไปโรงเรียนเพื่อแจ้งคุณครูเพื่อขอลาหยุด ทั้งที่ยังไม่มีโอกาสได้เข้าเรียน เพียงแค่นี้น้ำเสียงแม่เริ่มสั่นเครือ

     จังหวะหนึ่ง ขณะที่แม่กำลังเช็ดตัวลูกน้อยด้วยความห่วงใย ทำให้น้องฟีการ์ตื่นขึ้นมาพร้อมกับถามถึงพี่ชายที่ไปโรงเรียนในวันแรก เด็กน้อยพูดอย่างน่าเอ็นดูว่า “มะอย่าลืมพาน้องไปกินไอติมก่อนไปโรงเรียนด้วยนะ” คำพูดแค่นี้น้ำตาแม่ก็ไหลพรากอาบแก้วพร้อมปล่อยโฮจนตัวโยน

บาดแผลที่รอ...เยียวยา

     อาการบาดเจ็บของน้องฟีการ์ แม้จะไม่มีบาดแผลภายนอกให้เห็น แต่บาดแผลภายในจิตใจของเด็ก ทำให้ทีมแพทย์ต้องคอยติดตามสังเกตอาการอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือนเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่ออนาคตของเด็กหญิงที่ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงรายนี้

     ความเจ็บป่วยของน้องฟีการ์ ยังส่งผลกระทบไปยังครอบครัวด้วย เพราะทั้งพ่อและแม่มีอาชีพรับจ้างทั่วไปมีรายได้เฉลี่ยวันละ 200-300 บาท หากวันไหนหยุดงานก็เท่ากับขาดรายได้เลี้ยงครอบครัว ในขณะที่วันนี้ทั้งพ่อและแม่ยอมทิ้งทุกอย่างเฝ้าดูแลลูกให้มีชีวิตรอดปลอดภัยคือสิ่งที่สำคัญสุดของครอบครัว

     ผลพวงความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ครั้งแล้วครั้งเล่าที่สร้างความเจ็บปวดใจอย่างแสนสาหัสให้แก่ผู้ที่สูญเสีย... อีกนานไหม??? ปัญหานี้จะหมดไป คำถาม?? ง่ายๆ ที่ไร้คำตอบ...

     สันติสุขจงบังเกิดในจังหวัดชายแดนภาคใต้

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ