คอลัมนิสต์

"ผู้สูงอายุ" มึนกับมาตรการการช่วยเหลือของรัฐ!

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ที่สำคัญ การสำรวจประชากรผู้สูงอายุ ปี 2557 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า หนึ่งในสามของผู้สูงอายุมีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน (2,647 บาทต่อเดือน)

ผู้สูงอายุมึนกับมาตรการการช่วยเหลือของรัฐ

ดร.สราวุธ ไพฑูรย์พงษ์

นักวิชาการอาวุโส ฝ่ายการวิจัยทรัพยากรมนุษย์และพัฒนาสังคม สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย

    ในระยะเวลา 3-4 เดือนที่ผ่านมา มีข่าวมากมายเกี่ยวกับมาตรการต่างๆที่รัฐบาลกำลังคิดกำลังทำเพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุ ซึ่งในบางมาตรการก็ยังเป็นที่กังขา

     ความจริงที่เป็นที่รู้กันในขณะนี้คือ ประเทศไทยที่ได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Ageing Society) ตั้งแต่ปี 2546 โดยมีประชากรอายุ 60 ปีหรือมากกว่าเป็นจำนวน 6.6 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 10 ของประชากรทั้งหมด จากนั้นมา ในปี 2558 จำนวนผู้สูงอายุก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเป็น 10.5 ล้านคน และคิดเป็นร้อยละ 16 ของประชากรทั้งหมด และจะเพิ่มเป็น 14 ล้านคน หรือร้อยละ 20 ในอีก 4 ปีข้างหน้า โดยจะเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) ในตอนนั้น และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็น 21 ล้านคน และเป็นสังคมผู้สูงอายุสุดยอด (Super Aged Society) ในอีก 18 ปีข้างหน้า โดยมีผู้สูงอายุคิดเป็นร้อยละ 30 ของประชากรทั้งหมด

"ผู้สูงอายุ" มึนกับมาตรการการช่วยเหลือของรัฐ!

     การเปลี่ยนแปลงเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแต่ละระยะจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศและสวัสดิการของผู้สูงอายุอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะมีผู้สูงอายุเพียงร้อยละ 38 เท่านั้นที่ยังทำงานอยู่ด้วยเหตุผลต่างๆ ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม ที่สำคัญ จากการสำรวจประชากรผู้สูงอายุของประเทศไทย ปี 2557 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่า หนึ่งในสามของผู้สูงอายุมีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน (2,647 บาทต่อเดือน) หรือ ประมาณ 3 หมื่นบาทต่อปี

     สวัสดิการความช่วยเหลือหลักๆ ที่ผู้สูงอายุได้รับคือ ร้อยละ 37 ของผู้สูงอายุได้รับเงินจากบุตร ร้อยละ 34 มีรายได้จากการทำงาน ผู้สูงอายุที่มีรายได้จากเบี้ยยังชีพ มีเพียงร้อยละ 15 (ต่ำกว่าตัวเลขกระทรวงการคลังมาก-ไปตรวจสอบกันเอง) ซึ่งในปี 2557 ผู้สูงอายุที่มีอายุ 60-69 ปี จะได้รับเบี้ยเดือนละ 600 บาทต่อเดือน เพิ่มเป็น 700 บาทต่อเดือนสำหรับผู้มีอายุ 70-79 ปี 800 บาทต่อเดือนสำหรับผู้อายุ 80-89 ปี และ 1,000 บาทต่อเดือนสำหรับผู้อายุ 90 ปีขึ้นไป ส่วนผู้ที่มีรายได้จากบำเหน็จบำนาญมีผู้สูงอายุเพียงร้อยละ 5 เท่านั้น

     ต้องชมรัฐบาล คสช.ว่า มีความตื่นตัวเรื่องสังคมผู้สูงอายุมากและมีมาตรการต่างๆ ออกมารองรับมากมายหลายอย่าง อาทิ แผนงานด้านเศรษฐกิจเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุที่กระทรวงการคลังเสนอและผ่านมติ ครม.ไปเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2559 ขณะนี้ผ่านมากว่า 5 เดือน แผนงานเริ่มเห็นชัดเป็นรูปธรรมมากขึ้น

     แผนส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุ โดยมีมาตรการด้านภาษีเพื่อสนับสนุนบริษัทเอกชนจ้างคนอายุเกิน 60 ปีทำงาน นำรายจ่ายมาหักภาษี 2 เท่า แม้กฎหมายประกาศเมื่อเดือนมีนาคม 2560 แต่ให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่ปี 2559

     แผนงานสร้างที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุ กรมธนารักษ์นำร่องด้วยการนำที่ราชพัสดุให้กลุ่มโรงพยาบาลเช่าในราคาถูก เพื่อทำที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุแบบครบวงจร (Senior Complex) โดยลงนามไปแล้วกับโรงพยาบาลรามาธิบดีในพื้นที่สมุทรปราการ และเตรียมทำในอีก 4 พื้นที่ คือ เชียงใหม่ ประจวบคีรีขันธ์ นครนายก และชลบุรี คาดว่าจะมีที่พักอาศัยรวมกันไม่น้อยกว่า 2,000 ยูนิต

     แผนด้านสินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ (Reverse Mortgage : RM) เป็นรูปแบบใหม่ของสินเชื่อ ด้วยการให้ผู้สูงอายุที่มีบ้าน คอนโดมิเนียม แบบปลอดภาระหนี้ มาขอสินเชื่อกับธนาคารออมสิน และธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) โดยรับเงินเป็นรายเดือนเพื่อใช้ดำรงชีพ สามารถอาศัยอยู่ได้จนกว่าจะเสียชีวิต ซึ่งธนาคารออมสินเปิดตัวไปแล้ว ส่วน ธอส.อยู่ระหว่างการแก้กฎหมาย เพื่อให้ดำเนินการได้ (ผู้เขียนไม่ค่อยตื่นเต้นกับมาตรการนี้เท่าไหร่ เพราะถ้ามีอสังหาริมทรัพย์ก็สามารถเอาเข้าธนาคารทำ Overdraft: OD ได้เงินมาใช้ตามต้องการอยู่แล้ว ไม่ต้องรอรับเป็นเดือนๆ)

     แผนในเรื่องบำเหน็จบำนาญ ซึ่งกำลังยกร่างกฎหมายกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.) หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพภาคบังคับ สำหรับแรงงานอายุตั้งแต่ 15-60 ปี คาดว่าจะเปิดรับสมาชิกในช่วงปี 2561 โดยมีเป้าหมาย คือ ต้องการให้คนหลังเกษียณมีรายได้ต่อเดือน 50% ของเงินเดือนเดือนสุดท้าย

"ผู้สูงอายุ" มึนกับมาตรการการช่วยเหลือของรัฐ!

     รัฐบาลยังดูแลเรื่องการประกอบอาชีพด้วย โดยในปีนี้ตั้งเป้าให้ผู้สูงอายุมีงานทำและมีรายได้เพิ่ม 39,000 อัตรา โดยเฉพาะในชนบทผ่านวิสาหกิจชุมชน รวมทั้งการพยายามเพิ่มจำนวนสมาชิกกองทุนการออมแห่งชาติ เพื่อให้ประชาชนมีเงินออมไว้ใช้ยามเกษียณ

     อย่างไรก็ตามบางมาตรการก็ยังเป็นที่สงสัยของผู้สูงอายุอยู่ว่า จะทำเพื่อใคร หรือทำได้แค่ไหน

     ที่ฮือฮามากคือ แนวคิดที่กระทรวงการคลังเตรียมทบทวนยกเลิกจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุให้แก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้เกิน 9,000 บาทต่อเดือน หรือมีทรัพย์สินเกิน 3 ล้านบาท คาดว่าช่วยรัฐประหยัดงบได้กว่าหมื่นล้าน รวมทั้งแนวคิดเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเป็นรายละ 1,200-1,500 บาท เพื่อให้เหมาะสมกับการครองชีพในปัจจุบัน โดยระหว่างนี้กำลังศึกษารายละเอียด เช่น การระดมเงินทุนจากแหล่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือกองทุนสนับสนุนการกีฬา รวมถึงเงินที่ผู้สูงอายุที่มีฐานะดีอยู่แล้วและยอมเสียสละเบี้ยยังชีพคนชราอีกส่วนหนึ่ง จัดตั้งเป็นกองทุนผู้สูงอายุ

     ตามข่าวกล่าวว่า กองทุนผู้สูงอายุจะนำเงินไปเพิ่มเบี้ยยังชีพให้แก่คนชราที่มีประมาณ 10 ล้านคน โดยเฉพาะกลุ่มคนชราที่ยากจน หรือมีรายได้ไม่เกิน 1 แสน บาทต่อปี ซึ่งมีอยู่ประมาณ 2 ล้านคน จากการสำรวจตามโครงการลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย ทั้งนี้ เมื่อได้ข้อสรุปที่ชัดเจนหลังการลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยรอบที่ 2 แล้ว ก็จะนำเข้าสู่การพิจารณาของ ครม.

     มาถึงตรงนี้ ผู้เขียนสังเกตว่า รัฐบาลเริ่มสับสนระหว่างกองทุนที่จะตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุ กับกองทุนผู้สูงอายุที่มีอยู่เดิมและตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ พ.ศ.2546 ว่าน่าจะเป็นคนละกองทุนกัน รวมทั้งตัวเลขที่อ้างอิงที่ต่างจากการสำรวจประชากรสูงอายุโดยหน่วยงานของรัฐด้วยกัน

     น่าจะคลำเป้าให้แม่นๆ หน่อย มาตรการต่างๆ จึงจะประสบความสำเร็จ

ขอบคุณภาพจาก pixabay

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ