Lifestyle

นี่ไง..เสี่ยเยิ้ม !! "พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร" คนโตอีสานใต้

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

วันแรงงานที่ผ่านมา ในรัฐสภา เกิดมี "ดาวสภา" ดวงใหม่จุติ ด้วยวลีเด็ด "มันต้องจับไปยิงเป้า"


               สืบเนื่องจากการประชุมสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) พิจารณาร่าง พ.ร.บ.การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน ตามที่คณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการสื่อสารมวลชน เป็นผู้เสนอ

               พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร สมาชิก สปท.ได้ลุกอภิปรายสนับสนุน "กฎหมายคุมสื่อ" พร้อมกับบอกว่า "สมัยเป็นแม่ทัพภาค 2 ก็รบกับสื่อมาตลอด" และประโยคหนึ่งที่กลายเป็นประเด็นร้อนคือ "ผมไม่เข้าใจ ไอ้สื่อพวกนี้จริงๆ มันต้องจับไปยิงเป้า" (อ่านต่อ..."บิ๊กเยิ้ม" ดุ บอก "สื่อพวกนี้ต้องจับไปยิงเป้า")

            นี่ไง..เสี่ยเยิ้ม !! "พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร" คนโตอีสานใต้

               “พล.อ.ธวัชชัย” หรือ “บิ๊กเยิ้ม” เป็นที่รู้จักมักคุ้นของนักข่าวสายทหาร , นักข่าวสายการเมือง , นักข่าวกีฬา และนักข่าวภูมิภาค เพราะอดีตนายทหารใหญ่คนนี้ สวมหมวกหลายใบ

               แม้นามสกุล “สมุทรสาคร” แต่เกิดและเติบโตในค่ายทหารโคราช เรียนจบ ม.3 จากโรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย และเข้าเรียนทหาร รุ่นเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คือเตรียมทหาร รุ่นที่ 12 และนายร้อยพระจุลจอมเกล้าฯ รุ่นที่ 23

               เริ่มรับราชการในภาคอีสาน ตอนที่ติดยศร้อยโท ถูกส่งไปปราบผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (ผกค.) ในแถวถิ่นเทือกเขาภูพาน ก่อนจะย้ายมาประจำการที่ชายแดนอีสานใต้ ก็รบกับ ผกค. และเขมรแดง

               ปี 2522 สถานการณ์เปลี่ยน กองทัพภาคที่ 2 ต้องช่วย “เขมรแดง” รบทหารเวียดนาม และทหารเฮงสำริน

               ปี 2530 เป็นผู้บังคับกองร้อยลาดตระเวนระยะไกลที่ 6 สร้างวีรกรรมนำนักรบไทยบุกยึดเนิน 500 ใน “ยุทธการช่องบก” ขับไล่ทหารเวียดนามออกจากแผ่นดินไทย และได้รับการประกาศจาก พล.อ.อิสรพงศ์ หนุนภักดี สมัยเป็นแม่ทัพน้อยที่ 2 ให้เป็นบุคคลปฏิบัติงานดีเด่นนำกำลังผลักดันขับไล่ ทำลายกองกำลังต่างชาติที่รุกล้ำอธิปไตยพื้นที่ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี

               ปี 2532 ยุคแปรสนามรบเป็นสนามการค้า เป็นผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 23 ค่ายสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก บุรีรัมย์

               ห้วงเวลานี้แหละที่ชายแดนอีสานใต้คึกคัก เพราะ “เขมร 4 ฝ่าย” แบ่งสรรปันส่วนผลประโยชน์ได้ลงตัว ทำให้เกิดการค้าขายของคนสองประเทศ ตามจุดผ่อนปรนทางการ และด่านธรรมชาติ

               ด้วยความที่เป็นนายทหารไทยคุ้นเคยกันดีกับนายทหาร “เขมรแดง” ที่ดูแลพื้นที่ฝั่งกัมพูชา ตรงข้ามบุรีรัมย์ - สุรินทร์ - ศรีสะเกษ จึงเป็นผู้นำพานักธุรกิจท้องถิ่นไปเจรจากับเขมรแดง เชื่อมสัมพันธไมตรีตามนโยบายรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ และคนชายแดนจึงเรียกว่า “เสี่ยเยิ้ม”

               เมื่อขึ้นเป็นผู้บังคับกรมทหารราบที่ 23 ในวันที่ไทย - เขมร ค้าขายกันครึกโครม ใครต่อใคร ก็แวะไปเยี่ยม “เสี่ยเยิ้ม” ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี

               ปี 2544 - 2548 เป็นยุคทองของพรรคไทยรักไทย ก็มีคนแถวชายแดนเห็น “เสี่ยเยิ้ม” เดินตามหลัง “บิ๊กแอ๊ด” พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา แม่ทัพเลือกตั้งของไทยรักไทยสมัยนั้น

               ปี 2547 เป็นผู้บังคับการจังหวัดทหารบกสุรินทร์ และชัยชนะอย่างถล่มทลายของอดีตนายกฯ ทักษิณ รอบ 2 ส่งผลให้เสี่ยเยิ้มขึ้นเป็นผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 6

               ปี 2552 เป็นแม่ทัพน้อยที่ 2 ก่อนที่ “พี่ป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ จะดันให้เป็นแม่ทัพภาคที่ 2

               จังหวะที่ “บิ๊กเยิ้ม” เป็นแม่ทัพภาคที่ 2 ก็ต้องมาบัญชาการรบใน “สงครามปราสาทพระวิหาร - ปราสาทตาควาย” และตอนนั้น “บิ๊กเยิ้ม” ทั้งรบไป เจรจาไป เนื่องจาก พล.ท.เจียมอน ผู้บัญชาการทหารในพื้นที่นั้น ก็รู้จักมักคุ้นกันมายาวนาน

               “บิ๊กเยิ้ม” เกษียณในตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบกครองยศ พล.อ. เมื่อปี 2555 และมาช่วยงาน สุวัจน์ ลิปตพัลลภ เป็นอุปนายกลอนเทนนิสสมาคมแห่งประเทศไทย

               ปี 2556 ได้รับเลือกจากวุฒิสภา เป็นกรรมการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงาน ตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ หรือที่เรียกว่า ซูเปอร์บอร์ด และได้รับเลือกเป็นประธานซูเปอร์บอร์ด

               ปลายปี 2556 ทิ้งเก้าอี้ประธานซูเปอร์บอร์ด มาลงสมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ลำดับ 1 พรรคชาติพัฒนา ยังไม่ทันได้เป็น ส.ส. ศาลสั่งให้การเลือกตั้ง 2 กุมภาฯ 2557 เป็นโมฆะ

               หลังรัฐประหาร 2557 พล.อ.ประยุทธ์ แต่งตั้งเพื่อนร่วมรุ่น ตท.12 เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ลำดับที่ 58 และประธานบอร์ดบริษัทรถไฟฟ้า ร.ฟ.ท.จำกัด บริษัท บริหารจัดการ เดินรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต ลิงก์

               แต่เส้นทาง สนช. สะดุด เพราะขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว มาตรา 8 (1) กรณีเคยดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองในระยะเวลา 3 ปีก่อนได้รับแต่งตั้ง

               ไม่ได้เป็น สนช. ก็ได้รับเลือกกลับมาเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปท.) และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.)

               คาดหมายว่า “บิ๊กเยิ้ม” คงจะได้เป็น 1 ใน 250 สมาชิกวุฒิสภา ตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพราะทำงานได้ “เข้าตา” เพื่อนรัก (ประธาน คสช.) เสียเหลือเกิน

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ