ประเพณีการเลี้ยงดูปูเสื่อ อยู่คู่สังคมไทยมาช้านาน โดยเฉพาะเมื่อเจ้านายจากเมืองหลวงไปตรวจงานลูกน้องหัวเมือง : หทัยรัตน์ ดีประเสริฐ ทีมข่าวคุณภาพชีวิต คมชัด
เห็นได้ชัดเจนจากกรณีสดๆร้อนที่มีเปิดเผยต่อสาธารณะทั้งคนท่ีเป็นธุระจัดหา ผู้ใช้บริการ ก็ล้วนแต่เป็นข้าราชการ ไล่มาตั้งแต่ชั้นผู้น้อย ขยับสูงขึ้นไปเรื่อย ถึงเจ้านาย ตามประเพณีวัฒนธรรม “ลูกน้องต้องดูแลนาย”
แม้ว่า “เด็กหญิง”ที่เป็นผู้ให้บริการ รวมทั้งแม่ได้เปิดเผยข้อมูลว่าใครบ้างที่มีส่วนเกีี่ยวข้อง แต่ผู้ที่มีอำนาจบังคับบัญชาไม่ว่าจะเป็น “ปลัดกระทรวงมหาดไทย ”รัฐมนตรี“ หรือผู้นำประเทศ ”บิ้กตู่-พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ก็ยังปล่อยให้เป็นกลไกปกติของบ้านเมือง
คำถามคือว่าถึงวันนี้ผู้บริหารประเทศ จะยังปล่อยให้สังคมไทยอยู่ในวังวน ค่านิยม"วัฒนธรรมเอาใจนาย"อย่างนี้ต่อไปหรือไม่ "อุษา เลิศศรีสันทัด" ผอ.โครงการมูลนิธิผู้หญิง เล่าว่า ตลอดเวลา 30 ปีที่ทำงานเกี่ยวกับ ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้หญิง และเด็กที่ประสบปัญหา ตลอดจนรณรงค์ให้สังคมตระหนัก ถึงปัญหาที่ผู้หญิง เผชิญอยู่ในสังคมปัจจุบัน ได้แก่ ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว และความรุนแรงทางเพศในรูปแบบต่างๆ และปรากฏการณ์อย่างที่เป็นข่าวในขณะนี้มีให้เห็นมาโดยตลอด
ทั้งนี้มูลนิธิ ได้เริ่มโครงการคำหล้าขึ้นเมื่อปี2530 หลังจาก เหตุการณ์ไฟไหม้ซ่องที่ภูเก็ต เมื่อปี 2527 และสภาพปัญหาโสเภณีที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะปัญหาโสเภณีเด็ก เพื่อกระตุ้นให้ชุมชน เข้ามามีส่วนร่วมในการหยุดยั้ง การนำเด็กเข้ามาสู่กระบวนการค้าประเวณี โดยใช้สื่อทางการศึกษา คือ หนังสือคำหล้า ซึ่งเป็นเรื่องราวชีวิตจริงของโสเภณีเด็กจากภาคเหนือ ที่ถูกไฟคลอกตายในซ่องที่ภูเก็ตและหนังสือคำแก้ว เป็นเรื่องของเด็กหญิงจากภาคอีสานซึ่งถูกล่อลวงเข้าสู่การค้าประเวณี
โดยมูลนิธิผู้หญิงได้ประสานความร่วมมือกับสำนักงานการประถมศึกษา จังหวัดทางภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อเผยแพร่แก่ครูให้ใช้สื่อคำหล้าและคำแก้วในการเรียนการสอนแก่เด็กชั้นประถมหลังจากนั้นมูลนิธิผู้หญิงได้จัดอบรมเชิงปฏิบัติการกับกลุ่มครูเพื่อติดตามผลของการใช้สื่อคำหล้า และได้เผยแพร่ต่อไปยังผู้นำสตรีและเยาวสตรี
"ที่ผ่านมาก็ยังมีการค้าประเวณีเด็ก ผ่านไป30ปีแล้วประเทศไทยก็ยังมีปัญหาเรื่องค้าประเวณีเหมือนเดิม แสดงให้เห็นว่า เรื่องของวัฒนธรรมจัดหาเด็กสาวเอาใจนายยังมีและเกิดต่อเนื่องมาได้อีก ซึ่งถึงเวลาที่รัฐบาลควรจะมีมาตรการดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง" ผอ.โครงการมูลนิธิผู้หญิงระบุ
ขณะที่ “ธนวดี ท่าจีน” ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อนหญิง สะท้อนว่าผู้บริหารประเทศจะต้องเอาจริงเอาจังมีมาตรการลงโทษข้าราชการที่ไปเกี่ยวข้องกับขบวนการ จัดหาและซื้อบริการทางเพศเด็กหญิงให้เป็นบรรทัดฐาน กรณีดังกล่าวถ้าผู้ให้บริการพาดพิงก็ต้องย้ายออกจากพื้นที่และดำเนินการทางวินัยเมื่อสามารถพิสูจน์ทราบได้ถึงความผิดก็ต้องลงโทษอย่้างเด็ดขาดให้เป็นตัวอย่าง
ขณะเดียวกันก็ต้องมีการรณรงค์ให้ข้าราชการผู้ชายตระหนักในเรื่องการละเมิดสิทธิทางเพศของเด็กหญิงและผู้หญิง ไม่ว่ากรณีใดๆ อย่าได้ประพฤติหากพบว่ามีการกระทำที่ส่อไปในทางล่วงละเมิดทางเพศก็ให้ลงโทษอย่างเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเรื่องเหล่านี้ก็ยากจะหมดไปจากสังคมไทย
อย่างไรก็ตามการแก้ไขต้องดำเนินการไปพร้อมๆกับการรณรงค์ค่านิยมชายที่ไม่ควรไปละเมิดทางเพศหญิงอื่นที่ไม่ใช่ภรรยาตน และการลงโทษทางวินัยข้าราชการที่ประพฤติไปในทางที่ส่อละเมิดทางเพศ โดเฉพาะผู้ที่เป็นธุระจัดหา และผู้ใช้บริการ ขณะเดียวกันต้องมีมาตรการดูแลผู้หญิง โดยเฉพาะเด็กที่ตกเป็นเหยื่อ ให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้โดยไม่กลับไปผจญวังวนเดิมๆอีก
"จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถ้าเป็นไปได้อยากจะเสนอให้นายกรัฐมนตรีมาร่วมประชุมกับองค์กรเครือข่ายภาคเอกชนที่ทำงานเกี่ยวกับปัญหาความรุนแรงในครอบครัว และความรุนแรงทางเพศในรูปแบบต่างๆทุกองค์กรจะได้นำเสนอข้อมูลสภาพปัญหาต่างๆและแนวทางแก้ไขเรื่องนี้ด้วยกัน พร้อมตั้งกองทุนเพื่อดำเนินการด้านนี้ ขึ้นตรงนายกรัฐมนตรี เพื่อที่จะได้ทำงานร่วมกันอย่างสร่้างสรรค์มากขึ้น เพราะขณะนี้สภาพครอบครัวไทยอยู่ในสภาวะปัญหามากมายรุมเร้าโดยเฉพาะปัญหาเด็กท้องก่อนวัย แม้เลี้ยงเดี่ยวที่บางคนขัดสนเงินทอง ซึ่งอาจจะเป็นเหตุให้เข้าสู่วงจรค้าประเวณีได้โดยไม่ได้ตั้งใจก็เป็นได้ถ้ามีกองทุนและมาตรการที่ดูแลช่วยเหลือเด็กกลุ่มนี้ก็จะเป็นลดจำนวนเด็กหญิงเข้าสู่วงการได้อีกทางหนึ่ง" ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อนหญิง กล่าว
ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้นต้องรอดูว่า ผู้ที่เป็นธุระจัดหาและผู้ใช้บริการ จะมีความผิดตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และพ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก หรือไม่อย่างไร สำหรับเด็กหญิงที่อยู่ในวงจรค้าประเวณีทั้งที่เต็มใจหรือไม่เต็มใจ ภาครัฐโดยกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จะเข้าไปดูแลและหน่วยงานก็จะกันไว้เป็นพยาน และดูแลทางด้านจิตใจและอาชีพเพื่อให้สามารถกลับไปใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้
“สุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง” ผู้จัดการมูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคสังคม กล่าวว่าได้เสนอให้คณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)เสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ซึ่งประชุมทุกวันอังคาร หยิบยกเรื่องนี้มีหารือและเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาเรื่องดังกล่าวให้กับภาครัฐ เพราะเรื่องนี้เป็นปัญหามาช้านาน ในอดีตก็เกิดปัญหามาโดยตลอดเฉพาะข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จะละเมิดทางเพศของผู้ใต้บังคับบัญชา
ที่สำคัญต้องให้การคุ้มครองผู้ที่ออกมาเปิดเผยข้อมูลไม่ว่าจะเป็นแม่ หรือผู้ค้าประเวณีที่เป็นเด็กหญิงการนำตัวมาแถลงข่าวและเปิดเผยใบหน้า ควรคำนึงด้วยว่า จะมีผลกระทบต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของพวกเขาในอนาคตหรีือไม่อย่างไร ตรงนี้ภาครัฐควรให้ความสำคัญและระมัดระวังอย่างยิ่ง
“เป็นเรื่องที่ดีที่มีการเปิดเผยข้อมูลและชี้เป้า ผู้เป็นธุระจัดหา ผู้ใช้บริการ ทำให้สังคมได้รับรู้ว่าในสังคมเลี้ยงดูปูเสื่อซึ่งเป็นวัฒนธรรมเอาใจนาย ยังมีการทุจริตทางเพศ มีการหาประโยชน์จาการค่านิยมนี้ได้อย่างหยั่งลึกยาวนาน คำถามคือว่าแล้วผู้บริหารประเทศจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร เอาจริงเอาจังมากน้อยแค่ไหน เรื่องนี้ถึงจะหมดไปจากสังคมไทย"ผู้จัดการมูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคสังคม กล่าวทิ้งท้าย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง