คอลัมนิสต์

จริงดิ?“เสี่ยหนู”อนุทิน...ว่าที่นายกฯคนต่อไป?

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ช่วงหลังมานี้ อนุทิน ชาญวีรกูล ออกสื่อบ่อยไม่แพ้เซเลบดารา มั่นใจเลยว่า เพราะเป้าหมายงานช้าง กับการเลือกตั้งที่จะถึง ถึงกับไม่รักษาฟอร์มเลยว่า พร้อมลงเลือกตั้ง !

     ช่วงหลังมานี้ อนุทิน ชาญวีรกูล ออกสื่อบ่อยไม่แพ้เซเลบดารา มั่นใจเลยว่า เพราะเป้าหมายงานช้าง กับการเลือกตั้งที่จะถึง แม้ไม่กล้าคำนวณว่าเป็นวันไหนกันแน่ แต่เอาเถอะ วันนั้นต้องมาถึงสักวันตาม “สัญญา คสช.”

     เพราะหลังจากที่คนไทยได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้อย่างเป็นทางการเอาเมื่อต้นเดือนเมษาที่ผ่านมา เสี่ยหนู ก็ประกาศแบบไม่กั๊ก ไม่รักษาฟอร์มใดๆทั้งสิ้น ตามสไตล์ผู้รับเหมาเลยว่า พร้อมลงเลือกตั้ง !!! แถมยังประกาศนโยบายตั้งแต่ไก่โห่ นำของเก่าช่วงหาเสียงต้นปี 2557 มาบอกเล่าใหม่

     ก็ไม่รู้ว่าความมั่นใจนี้มาจากไหน หรือจะตามที่ว่ากันว่า พรรคภูมิใจไทย พรรคขนาดกลางของเขานี่แหละ ที่จะเป็นตัวแปรสำคัญในการต่อรองทางการเมืองกับพรรคใหญ่ อันเป็นไปตามสูตรเด็ดที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้กำหนดไว้

     แต่ถ้าใครจะดูเบาตัวแปรนี้ เห็นชัดว่าผิดถนัด เพราะพรรคภูมิใจไทยของ “เสี่ยหนู” ก็เคยสร้างปรากฏการณ์การเมืองมาแล้วจนหลายคนหงายเงิบ แถมเสี่ยหนูเอง ก็ไม่ใช่คนหน่อมแน้มโนเนม ไม่เชื่อมาเช็กประวัติกันดู

     อนุทิน ชาญวีรกูล เกิดเมื่อ 13 กันยายน มีชื่อเล่นว่า “หนู” เป็นบุตรของ ชวรัตน์ ชาญวีรกูล มารดา คือ ทัศนีย์ (นามสกุลเดิม พิริยะมาสกุล)

     เสี่ยหนูเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนอัสสัมชัญ และเคยลงหลักสูตรมินิเอ็มบีเอ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ช่วงปี 2528-2532 จากนั้นไปต่อ วิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮอฟตรา นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

     เสี่ยหนูมีภรรยาคนแรกคือ สนองนุช วัฒนวรางกูร มีบุตรหญิงชาย 2 คน คือ นัยน์ภัค (ต้นสน) และ เศรณี ชาญวีรกูล (เป๊ก) ต่อมาสมรสครั้งที่ 2 ช่วงปี 2556 กับ ศศิธร จันทรสมบูรณ์ บุตรีของ อมร จันทรสมบูรณ์ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา

     การทำงานในช่วงแรกก็วนเวียนในตำแหน่งที่ร่ำเรียนมา เป็นวิศวกรในบริษัทเอกชนหลายแห่ง รวมทั้งตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ของพ่อ

     แต่เมื่อสูตรปกติ ที่ยักษ์ใหญ่ธุรกิจจะเข้าเป็นนายทุนให้กับพรรคการเมือง อย่างงานนี้ ซิโน-ไทย ของปู่จิ้น ชวรัตน์ ก็ไปมาเกือบหมดทุกพรรค มีบทบาทในพรรค จนถึงโดดเข้าเป็นนักการเมืองเสียเอง

     พูดง่ายๆ ว่าทั้งพ่อ-ลูกมีบทบาทอะไรๆ ในการเมืองมาเยอะ จนภายหลังเสี่ยหนูยังต้องออกโรงแจงรัวๆ เรื่อง ปรากฏการณ์ ซิโน-ไทย คว้างานรับเหมาใหญ่ๆ รัฐอยู่เสมอ

     สำหรับงานการเมืองของเสี่ยหนู เริ่มจากช่วงปี 2539 ที่เขาได้เป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ประจำคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภาผู้แทนราษฎร โดยช่วงนั้น บิดาก็นั่งรัฐมนตรีช่วยคลัง สมัยรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ โดยมาในโควตาพรรคชาติพัฒนา

     ต่อมาช่วงปี 2539-2542 เขาได้เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยอยู่หลายกระทรวง ตั้งแต่ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ช่วงรอยต่อรัฐบาล พล.อ.ชวลิต กับ ชวน หลีกภัย

     จนมาปี 2544 ในรัฐบาลไทยรักไทย ของนายกฯ หน้าเหลี่ยม เสี่ยหนูก็เข้าเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทย และได้เป็นกรรมการที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งตอนนั้นคือ “พล.อ.วัฒนชัย วุฒิศิริ”

     จากนั้นยังมีบทบาทอยู่หลายกระทรวง โดยตั้งแต่มิถุนายน-ตุลาคม 2547 เคยนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยกระทรวงสาธารณสุข จากนั้นไปนั่ง รัฐมนตรีช่วยกระทรวงพาณิชย์ แล้วกลับไปนั่งรัฐมนตรีช่วยากระทรวงสาธารณสุข อีกทีตอนปี 2548

     จนกระทั่งหมดหน้าที่ไป เพราะรัฐบาลทักษิณถูกยึดอำนาจจาก คปค. เมื่อ 19 กันยายน 2549 และต้องติดล็อกอยู่ในบ้านเลขที่ 111 เมื่อกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปีตั้งแต่ 30 พฤษภาคม 2550

     แต่รอยต่อช่วงนั้น พรรคพลังประชาชนก็ขึ้นมาแทนที่พรรคไทยรักไทย และชนะเลือกตั้งเป็นรัฐบาล เสี่ยหนูก็ต้องนั่งมองตาปริบๆ เพราะพอไทยรักไทยถูกยุบ มาพลังประชาชนก็ถูกยุบอีก คนไทยมีนายกฯ หลายคน จนงงเด้..มากช่วงนั้น

     ซึ่งก็ไม่รู้เพราะหนนั้นหรือไม่ ที่ส่งผลให้หลังผ่านไป 5 ปี การเมืองเต็มไปด้วยดราม่าสุดๆ ระหว่างนั้น ส.ส.ในไทยรักไทย และพลังประชาชน แตกก๊วนแตกกอ ออกไปมาก

     อย่าง อนุทิน หรือเสี่ยหนูของเราคนนี้ จากที่เคยรู้กันดีว่า ได้รับความไว้วางใจมากกกก !! สำหรับคนหน้าเหลี่ยม พอๆ กับ เนวิน ชิดชอบ หรือ "เสี่ยห้อย" จนถูกเรียกว่า “เนทิน” กับ “อนุวิน”

     แต่แล้วพวกเขา และ ส.ส.กลุ่มเพื่อนเนวิน ก็แยกวงมาตั้ง “พรรคภูมิใจไทย” ที่เสี่ยหนูถึงกับออกปากว่า ตนกับเนวินนั้น เรียกว่าหอบหิ้วกันมาสร้างพรรคด้วยกันเลย

     ทั้งนี้ แรกเริ่มให้ปู่จิ้นผู้พ่อเป็นหัวหน้าพรรคอยู่ก่อน จนพอปี 2551 ก็พลิกมายืนขั้วตรงข้าม ตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร ให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เก้าอี้นายกฯ และปู่จิ้นก็ได้เก้าอี้รัฐมนตรีมหาดไทยมานอนกอด

     จนเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน ปี 2554 คนไทยมีรัฐบาลพรรคเพื่อไทย นำโดย นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พรรคภูมิใจไทย ก็ย้ายไปตกที่นั่งฝ่ายค้าน

     เสี่ยหนูที่เพิ่งหลุดจากบ้านเลขที่ 111 ในปี 2555 ก็ต้องโลว์โพรไฟล์เป็นฝ่ายค้านบนเก้าอี้หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่ปู่จิ้นผ่องถ่ายอำนาจมาให้ทันทีที่กลับมาลงสนามการเมืองได้อีกครั้ง

     ขณะที่ เสี่ยห้อย หันไปสนใจเรื่องฟุตบอลให้แก่บ้านเกิดบุรีรัมย์แทน แต่ก็รู้กันดีว่าการตัดสินใจในพรรคเรื่องสำคัญๆ เสี่ยหนูต้องเข้ามาปรึกษากับเนวินแทบทั้งสิ้น

     ต่อมาในการเลือกตั้งทั่วไป ปี 2557 เสี่ยหนูได้ลงสมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคภูมิใจไทย ลำดับที่ 1 เพียงแต่ไม่ได้ทำงาน เพราะถูก กปปส.ประท้วง จนไม่สามารถเลือกตั้งให้แล้วเสร็จทั่วประเทศภายในวันเดียวกัน การเลือกตั้งนี้จึงไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญไปด้วย

     ช่วงนั้น เสี่ยหนูจึงเงียบไปอีกพัก ยิ่งช่วงหลังมี คสช. เขาก็ยิ่งเงียบ มีให้สัมภาษณ์สื่อบ้างประปราย

แต่ก็ยังมีข่าวดอดเดินทางไปต่างประเทศเพื่อพบนายใหญ่ หรือผู้ใหญ่ที่ยังรักกันดีอยู่เดิมเสมอ โดยเขาออกมาแจงรัวๆ อีกทีว่า เป็นเรื่องความสัมพันธ์ที่ดีที่มีต่อกัน โดยไม่มีทั้งผลประโยชน์ทางการเมืองและทางธุรกิจ

     จนกระทั่งบทบาทที่เฉิดฉายขึ้นมาอีกรอบล่าสุด ตามที่เกริ่นไว้ตอนต้น อย่างช่วงต้นปีที่ผ่านมา ออกพ็อกเก็ตบุ๊คของตนเอง ชื่อ “มีรูมีหนู” เขียนโดย ราม ปั้นสนธิ เล่าเรื่องราวการเมืองเข้มข้น โดยผู้เขียนบอกความหมายของชื่อหนังสือว่า หมายถึง “ที่ไหนมีโอกาส ที่นั่นมีอนุทิน”

     และวันนี้ ดูเหมือนว่าโอกาสกำลังมาถึงแล้ว สปอตไลต์การเมือง ก็สาดมายังเสี่ยหนูอีกคำรบ ด้วยชื่อชั้น บารมี และบุคลิกไร้ศัตรูเข้าได้กับทุกฝ่าย และไปด้วยกันได้กับ คสช. แถมยังลือกันไปถึงขนาดว่า จะเป็นกาวใจให้ทักษิณกลับมา “โอเคเนวิน” ได้อีกด้วย

     เมื่ออำนาจการต่อรองทางการเมืองสูงขนาดนี้ คนไทยไม่ต้องไปมองพรรคใหญ่เลย เพราะไม่แน่ “เสียหนู” นี่แหละที่จะเป็น “ตาอยู่” นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีไทยก็ได้

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ