คอลัมนิสต์

พายุลูกล่าสุด : “ธาริต เพ็งดิษฐ์” กับชีวิต “เปลี่ยนสี”??

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

หลังจากการก้าวเข้ามาของ คสช. อดีตอธิบดีดีเอสไอทีตอบสนองงานทุกขั้วการเมืองก็ต้องหลุดจากตำแหน่ง และจากวันนั้นป็นต้นมา ก็เป็นจุดเริ่มต้นของพายุที่โถมซัดกระหน่ำ

 

              หลังจากเปลี่ยนขั้วการเมืองครั้งสุดท้าย พายุลูกแล้วลูกเล่าก็โหมกระหน่ำใส่ “ธาริต เพ็งดิษฐ์” อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่ชีวิตข้าราชการถูกมองว่าเปลี่ยนสี - เปลี่ยนขั้วมาหลายครั้ง

              แต่เมื่อ คสช. ก้าวเข้าสู่อำนาจในวันที่ 22 พ.ค. 2557 ถัดจากนั้นอีก 2 วัน “ธาริต” ก็ถูกเก็บเข้ากรุ “สำนักนายกรัฐมนตรี” ในวันที่ 24 พ.ค. 2557   สิ้นสุดการดำรงตำแหน่ง อธิบดีดีเอสไอ ที่ยาวนานเกือบ 5 ปี 

              จากนั้นเขาก็ก็ถูกตรวจสอบในหลายๆ เรื่องโดยเฉพาะเรื่องร่ำรวยผิดปกติ โดยในปี 2558 ก็เคยถูก ป.ป.ช.อายัดทรัพย์ไว้ 90.26 ล้านบาท

              ต่อมาวันที่ 10 มี.ค. 2559 เขาก็ถูก ป.ป.ช. ชี้มูลว่าร่ำรวยผิดปกติ รวมมูลค่า 346,652,588.52 บาท โดยหลังจากพิจารณารายงานผลการไต่สวนข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่า นายธาริต และนางวรรษมล ภรรยา มีทรัพย์สินมากผิดปกติเกินกว่าฐานะและรายได้ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐจะพึงมีได้ อีกทั้งยังปรากฏพฤติการณ์โอน ยักย้าย แปรสภาพหรือซุกซ่อนทรัพย์สิน รวมทั้งให้บุคคลอื่นถือทรัพย์สินแทน กล่าวคือ ให้นายปิยฤกษ์ อรรถกานต์รัตน์ ซึ่งเป็นหลานชาย และบริษัท ปิยธนวรรษ จำกัด ซึ่งมีนายปิยฤกษ์ และนางกานดา เผือดจันทึก น้องสาวของนางวรรษมล เป็นกรรมการบริษัท มีชื่อเป็นผู้ถือครองทรัพย์สินจำนวนมากแทน และเตรียมยื่นศาลแพ่งขอให้ยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน

              จากนั้น ก็เขาก็ถูกสอบเพิ่มและพบอีกว่ามีการยักย้าย ถ่ายเททรัพย์สินไปให้คนใกล้่ชิดและ ป.ป.ช. กำลังจะขออายัดทรัพย์อีกร่วม 100 ล้านบาท

              และล่าสุดกับการที่มี “แหล่งข่าวจาก ป.ป.ช.” ออกมาระบุว่า ได้ส่งสำนวนการไต่สวน และรายงานความเห็นกรณีชี้มูลความผิด เพื่อให้ลงโทษไล่ “ธาริต” ออกจากราชการ จากกรณีร่ำรวยผิดปกติ โดยสำนักเลขาธิการนายกฯ ยืนยันมีคำสั่งไล่ออก "ธาริต เพ็งดิษฐ์" ตั้งแต่ 3 เม.ย. 2560 (อ่านต่อ..)

พายุลูกล่าสุด : “ธาริต เพ็งดิษฐ์” กับชีวิต “เปลี่ยนสี”??

              หากย้อนประวัติกลับไปดูว่า ชีวิตของเขานั้นทั้งโลดโผนและเปี่ยมด้วยสีสัน หากจะพูดถึงข้าราชการ ก็มีน้อยคนนักที่จะอยู่ได้กับหลากขั้วการเมืองที่มีความขัดแย้ง แต่ “ธาริต เพ็งดิษฐ์” กลับเป็นหนึ่งในจำนวนน้อยนั้น

และด้วยความที่ไม่ว่าขั้วไหนได้ขึ้นสู่อำนาจเขาก็รักษาตัวรอดเป็นยอดดีและทำหน้าที่ตอบสนองผู้มีอำนาจได้อย่างเต็มที่

              บิดาของเขาคือ ร.อ.เจี๊ยบ เพ็งดิษฐ์ เป็นนายทหารคนสนิทของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ซึ่งต่อมาได้ลาออกจากราชการและย้ายครอบครัวไปอยู่ที่ จ.ชัยนาท หลัง จอมพล ป.ถูกรัฐประหาร

              ตัว “ธาริต” เอง เล่าให้ฟังว่าสมัยเด็กๆ เขาไม่ได้ใช้ชื่อนี้ หากแต่ในวัยเด็กเขาชื่อว่า “เบญจ” ที่ตั้งโดย “หลวงพ่อฤาษีลิงดำ” พระเกจิชื่อดัง สืบเนื่องจากก่อนเขาเกิดนั้นพ่อและแม่มีลูกมาแล้ว 4 คน แต่ก็เสียชีวิตตั้งแต่แรกเกิดทั้งสิ้น

              ตัวเขาเองก็อยู่ในภาวะที่ไม่แข็งแรงเช่นกัน โดยอยู่ในตู้อบโรงพยาบาลคริสเตียน อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท นานถึง 3 เดือน จนมารดาของเขาต้องนั่งเรือจากชัยนาทไปอุทัยธานี เพื่อไปหา “หลวงพ่อฤาษีลิงดำ” แห่งวัดท่าซุงเพื่อขอให้ช่วย หลวงพ่อจึงตั้งชื่อให้ว่า “เบญจ” พร้อมทั้งบอกว่าชื่อนี้จะทำให้รอด แล้วถ้าโตขึ้นให้เปลี่ยนชื่อแล้วจะดี

              จนกระทั่งอายุ 35 ปี เขาจึงเปลี่ยนชื่อเป็น “ธาริต” ตามความเชื่อทางโหราศาสตร์ โดยให้เหตุผลว่า หากอยากเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ชีวิตราชการ ต้องใช้หลักของ “เดช” นำหน้าจึงเป็นที่มาของชื่อ “ธาริต” เพราะ “ธ” คือตัวเดช

              ประวัติการศึกษาของเขาก็น่าสนใจไม่น้อย เพราะหลังจากสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมจากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ก็สอบเข้าศึกษาต่อในคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รุ่น KU 37 แต่ด้วยเหตุผลที่ไม่ชอบและปรับตัวไม่ได้กับระบบ “โซตัส” เขาจึงลาออกไปสมัครเรียนคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ในปี 2521 และสำเร็จการศึกษาที่นี่ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง จากนั้นก็สอบได้เนติบัณฑิตไทย รวมถึงนิติศาสตรมหาบัณฑิต สาขากฎหมายอาญาและกระบวนการยุติธรรมทางอาญา จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

              ก่อนเข้ารับราชการอัยการ “ธาริต” ได้สอนหนังสือที่ ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ และได้รู้จักกับ “คณิต ณ นคร” ซึ่งเมื่อเขาเรียนจบปริญญาโทก็ได้สมัครเข้ารับราชการในสำนักงานอัยการสูงสุดปี 2533 ชีวิตราชการเขาก้าวหน้าตามลำดับจนถูกเรียกไปเป็นหน้าห้องของ “คณิต ณ นคร” สมัยที่เป็นอัยการสูงสุด

              จากนั้นชีวิตของเขาก็เริ่มผกผัน ได้เข้ามาใกล้ชิดกับ “การเมือง” เมื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย ก็ได้ระดมนักกฎหมายมาช่วยงานซึ่งหนึ่งในนั้นก็มี “คณิต ณ นคร” อยู่ด้วย

              หลังการเลือกตั้งปี 2544 พรรคไทยรักไทยได้เป็นรัฐบาล “นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช” ได้ดึงให้เขามาช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี โดยทำงานกับ “พันศักดิ์ วิญญรัตน์” ที่ปรึกษาของ “ทักษิณ” นั่นเอง

             ระหว่างนั้นเขามีส่วนในการยกร่างกฎหมายและจัดตั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษ ก่อนถูกโอนย้ายไปเป็นรองอธิบดีดีเอสไอ ในสมัยที่ “พล.ต.ท.นพดล สมบูรณ์ทรัพย์” เป็นอธิบดีคนแรก แต่ทุกอย่างใช่ว่าจะราบรื่น

              เพราะเมื่อ “พล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัฒน์” ได้ขึ้นมาเป็นอธิบดีดีเอสไอก็มีตำรวจเป็นจำนวนมากโอนย้ายเข้ามา ทำให้บทบาทของเขาดูด้อยลงไป จึงเดินหน้าทำงานด้านวิชาการ

              ต่อมาเขาก็เข้าไปมีส่วนในการยกร่างกฎหมายจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ทำให้ได้รับเลือกให้เป็นเลขาธิการ ป.ป.ท. คนแรก ในปี 2551 ในสมัยรัฐบาลพรรคพลังประชาชน

              และที่นี่เองทำให้เขามีผลงานที่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นคดีซานติก้าผับ คดีทุจริตนมโรงเรียน คดีกองทุนบำเหน็จบำนาญราชการ

              และต่อมาเมื่อการเมืองเปลี่ยนขั้ว พรรคประชาธิปัตย์ ที่นำโดย “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ได้ขึ้นเป็นรัฐบาล ก็ได้ย้าย “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” อธิบดีดีเอสไอในขณะนั้นที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับเครือข่าย “ชินวัตร” ออกไป และเป็น “ธาริต” นี่เองที่ได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษด้วยวัย 50 ปี          

              นาทีนี้เขาถูกมองว่าเป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์อย่างเต็มตัว            

              บทบาทของเขายิ่งเด่นชัดขึ้นเมื่อเหตุการณ์วิกฤติการเมืองปี 2553 จากการชุมนุมของ นปช.ธาริตเป็นหนึ่งในกรรมการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และมีบทบาทอย่างยิ่งโดยเฉพาะการแถลงข่าวครั้งสำคัญๆ ในฐานะทีมโฆษก และยังเดินหน้าทำคดีที่เกี่ยวข้องกับแกนนำการชุมนุมเช่นคดีก่อการร้าย โดยถูกมองว่าคดีนี้เดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว ขัดกับคดีการสลายการชุมนุมของรัฐบาล

              ขณะนั้น “คนเสื้อแดง” มอง “ธาริต” เป็นศัตรูลำดับต้นๆ และเขาก็ถูกแกนนำการชุมนุมฟ้องร้องและตรวจสอบในเรื่องต่างๆ อย่างมากมาย อาทิ การออกมาเปิดเผยเรื่องมีผู้โอนเงิน 1.5 แสนบาทเข้าบัญชีของ “วรรษมล เพ็งดิษฐ์” ภรรยาของเขา โดยระบุว่าเป็นเงินค่าตอบแทนในการเลี่ยงภาษี แต่ก็มีการชี้แจงว่าเป็นค่าบริการให้คำปรึกษาทางกฎหมาย

              เมื่อการเมืองเปลี่ยนขั้วอีกครั้ง พรรค “เพื่อไทย” ได้ขึ้นเป็นรัฐบาล เขาถูกหมายหัวจาก “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” ในตอนต้นว่าจะปลดออกจากตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอ แต่ที่สุดแล้วเขาก็อยู่รอดปลอดภัยตลอดอายุของรัฐบาลเพื่อไทย ซ้ำยังได้รับการต่ออายุในตำแหน่งอีกด้วย

              และในขั้วการเมืองพรรคเพื่อไทยนี่เอง ที่การทำหน้าที่ของเขาถูกมองว่าพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ด้วยท่าทีที่ถูกมองว่าเขาทำงานตอบสนองผู้ถืออำนาจได้เป็นอย่างดี ท่ามกลางข้อครหาว่าเพื่อแลกกับการอยู่ยั้งยืนยงในเก้าอี้

              โดยคดีที่เขาทำภายใต้รัฐบาลเพื่อไทยนั้น มุ่งเป้าไปที่ฝ่ายตรงข้าม รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์ที่เขาเคยร่วมทำงานมาด้วยเช่น คดีจากวิกฤติการเมืองปี 2553 ถึงนาทีนั้นเขาเดินหน้ากับรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ในคดีสลายการชุมนุม ส่วนคดีของกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. ก็ยกฟ้องเป็นจำนวนมาก เช่น คดีผังล้มเจ้า รวมทั้งยังเดินหน้าเกี่ยวกับคดีอื่นๆ เช่น คดีทุจริตโรงพักทดแทน คดีต่อสัญญาสัมปทานบีทีเอส

              รวมทั้งเขาได้เป็นกรรมการ ศอฉ. อีกครั้งในเหตุการณ์วิกฤติการเมืองปี 2556-2557

              จังหวะนั้นเขากลายเป็นศัตรูของคนอีกกลุ่ม จนหลายคนเรียกอย่างเกลียดชังว่า “ธาริต เปลี่ยนสี” ล้อมาจากนามสกุลของ “ถวิล เปลี่ยนศรี” อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติที่เป็นคู่กรณีกับรัฐบาลเพื่อไทยในขณะนั้น

              จนเมื่อการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. ในปี 2556-2557 เขาก็ตกเป็นเป้าอีกครั้ง โดนปิดล้อม ไล่ล่า ตรวจสอบ รวมถึงการตรวจสอบบ้านของ “วรรษมล” ที่ซื้อไว้ที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เพื่อทำโฮมสเตย์ ก็ถูกตรวจสอบว่ารุกล้ำพื้นที่ป่าสงวน จนต้องยอมรื้อบ้านบางหลัง และคืนที่ดินบางส่วนให้แก่ราชการ

              และเมื่อ คสช. เข้ามาก็ถึงคราวตกต่ำของเขา

              และพายุลูกล่าสุดกับคำสั่ง “ไล่ออกจากราชการ” ซึ่ง ธาริต ลั่น!! "ขอสู้ตามกระบวนการยุติธรรม" (อ่านต่อ...)

พายุลูกล่าสุด : “ธาริต เพ็งดิษฐ์” กับชีวิต “เปลี่ยนสี”??

-----

โดย อรรถยุทธ บุตรศรีภูมิ

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ