คอลัมนิสต์

ใครซ่อนอาวุธพิฆาต“นิวเคลียร์ เคมี เชื้อโรค”สงครามโลก 3!

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

การเปิดศึกสงครามด้วย “อาวุธเคมี” และ “อาวุธนิวเคลียร์” จะกลายเป็นชนวนสงครามโลกครั้งที่ 3 จริงหรือไม่ ?

     หลังกองทัพสหรัฐเปิดฉากยิงขีปนาวุธโทมาฮอว์ก ตูม ตูม ตูม !!! ต่อเนื่องเกือบ 60 ลูกใส่ฐานทัพซีเรีย เพราะแค่สงสัยว่ามีการแอบใช้ “อาวุธเคมี” จนสร้างความหวาดผวาไปทั่วโลก สื่อมวลชนหลายแห่งถึงกับประเมินว่า นี่คือก้าวแรกของสงครามโลกครั้งที่ 3 !

     ทำไมการโจมตีของฝ่ายรัฐบาลซีเรีย ที่ใช้อาวุธเคมีก๊าซพิษซาริน ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปเกือบร้อยคน จึงสร้างความเดือดดาลให้พี่ยักษ์อเมริกา จนทนไม่ไหวต้องเปิดฉากถล่มแบบไม่ตั้งตัว

     ระหว่างนั้น “คิม จองอึน” ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือก็ยั่วยุในอีกฝั่งซีกโลก ด้วยการประกาศทดสอบขีปนาวุธ เมื่อ 16 เมษายน ที่ผ่านมา แม้การยิงทดสอบจะล้มเหลว แต่พี่ยักษ์อเมริการู้สึกโกรธสุดขีด สั่งกองเรือพิฆาตมุ่งหน้ามาประชิดคาบสมุทรเกาหลีทันที

     การเปิดศึกสงครามด้วย “อาวุธเคมี” และ “อาวุธนิวเคลียร์” จะกลายเป็นชนวนสงครามโลกครั้งที่ 3 จริงหรือไม่ ?

     อดีตนายพลทหารผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธและยุทธวิธีรบทั้งบนบกและอากาศ วิเคราะห์ให้ “คม ชัด ลึก” ฟังว่า

     การยั่วยุของเกาหลีเหนือนั้น ถ้าเปรียบเทียบด้านขุมกำลังแล้วยังห่างไกลจากอเมริกาอย่างมาก เริ่มจากกำลังทหารภาคพื้นดิน หมายความว่าหากมีการบุกยึดพื้นที่ต้องมีการระดมทหารไปรบ ฝั่งเกาหลีเหนือมีประมาณ 6 ล้านคนรวมกำลังสำรอง ส่วนอเมริกามีประมาณ 1 ล้าน แม้จำนวนต่อหัวน้อยกว่า แต่ศักยภาพในการรบและอาวุธคู่กายแตกต่างกันมาก ฝั่งอเมริกายังได้เปรียบและถ้าเอาอาวุธมาเปรียบเทียบกัน จะเห็นว่า หัวรบนิวเคลียร์ของอเมริกามีถึงเกือบ 7 พันลูก ส่วนเกาหลีเหนืออ้างว่ามี 15 ลูก แต่ที่ใช้ได้จริงอาจแค่ประมาณ 5 ลูก

     “ถ้ารบกันจริง ประธานาธิบดีอเมริกาจะไปสั่งยิงขีปนาวุธนิวเคลียร์ง่ายๆ แบบ คิม จองอึน ไม่ได้ ต้องผ่านหลายกระบวนการ ทั้งขอคำปรึกษาและคำยินยอมจากผู้นำกองทัพ ฝ่ายความมั่นคง เสนาธิการทหาร และยังต้องชี้แจงต่อสภาด้วย เพราะถ้าประธานาธิบดีสั่งเองโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจะกลายเป็นอาชญากรสงครามทันที”

     ผู้เชี่ยวชาญข้างต้นวิเคราะห์ต่อว่า การยั่วยุครั้งนี้ไม่น่าจะเป็นบ่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 แม้เกาหลีเหนืออ้างว่าพัฒนาขีปนาวุธพิสัยไกลจนสามารถยิงไปถึงฝั่งอเมริกาได้นั้น แต่ความเป็นจริงแล้ว“การยิงไปถึง” กับ “การยิงถูกเป้าหมาย” มีความหมายแตกต่างกัน

     “เชื่อว่าทุกวันนี้เกาหลีเหนือพยายามลงทุนทดลองขีปนาวุธหลายๆ ครั้ง เพราะต้องการพัฒนาตัวยิงระเบิดให้มีความแม่นยำกว่านี้ แต่ยังทำไม่ได้ดีพอ และระบบที่มีอยู่ตอนนี้ก็ทำให้ถูกตรวจจับได้ง่าย และจะโดนยิงทำลายด้วยจรวดต่อต้านขีปนาวุธภายในพริบตา ด้วยข้อจำกัดที่เกาหลีเหนือมีหัวรบนิวเคลียร์ไว้ในครอบครองไม่กี่ลูก ถ้าโชคดียิงไปถึงฝั่งนั้นได้จริง อานุภาพระเบิดที่มีอยู่น่าจะทำลายสหรัฐอเมริกาได้ไม่น่าถึง 5 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าโดนโจมตีกลับ อาวุธกองทัพอเมริกาจะทำลายประเทศเกาหลีเหนือได้ทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ และไม่ได้ครั้งเดียวแต่ทำซ้ำได้อีกหลายสิบครั้ง”

ใครซ่อนอาวุธพิฆาต“นิวเคลียร์ เคมี เชื้อโรค”สงครามโลก 3!

     ผู้เชี่ยวชาญข้างต้นยืนยันว่า ในห้วงเวลานี้ยังไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะเกิดสงครามนิวเคลียร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศจีนที่เศรษฐกิจกำลังพัฒนาด้วยดีนั้น ยังไม่อยากให้เกาหลีเหนือก่อสงครามอย่างแน่นอน เพียงแต่อเมริกาไม่อยากให้เกาหลีเหนือมีโอกาสทดลองการยิงระเบิดนิวเคลียร์มากนัก จึงขู่ห้ามไว้ ส่วนการไปแอบทดลองอาวุธนิวเคลียร์แบบลับๆ นั้น ก็ทำไม่ได้เพราะต้องทดลองใต้ดิน ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนเหมือนแผ่นดินไหว สุดท้ายไม่มีทางหลบเลี่ยงเครื่องตรวจจับได้อย่างแน่นอน ที่สำคัญคือจีนไม่อยากให้ทดลองด้วย เพราะหมายถึงอันตรายที่อาจเกิดจากการตัดสินใจผิดพลาดของผู้นำเพียงคนเดียว

     “นิวเคลียร์เป็นเพียงหัวรบที่ต้องใช้ขีปนาวุธในการนำส่ง การยิงข้ามทวีปทำได้หลายวิธี เช่นการใช้ขีปนาวุธที่ติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ข้ามทวีป (ICBM) ขีปนาวุธที่ปล่อยจากฐานของเรือดำน้ำนิวเคลียร์ (SLBM) หรือใช้เครื่องบินไปทิ้งระเบิดนิวเคลียร์เหมือนสมัยที่ญี่ปุ่นโดนที่ฮิโรชิมาและนางาซากิ เชื่อว่าตอนนี้เกาหลีเหนือนำส่งได้แค่หัวรบนิวเคลียร์ข้ามทวีป ไม่เหมือนอเมริกาที่ส่งกองทัพเรือดำน้ำไปใกล้ๆ แล้วกดปุ่มสั่งยิงหัวรบนิวเคลียร์จากเรือดำน้ำได้เลย ความแม่นยำและอานุภาพแตกต่างกันลิบลับ ระหว่างยิงใกล้ๆ ประชิดชายฝั่ง กับยิงข้ามทวีป หรือถ้าเกาหลีเหนืออยากยิงไปแค่ใกล้ๆ ประมาณญี่ปุ่นหรือเกาหลีใต้ ก็จะโดนมิสไซล์ยิงสกัด หรือระบบป้องกันขีปนาวุธ THAAD (Terminal High Altitude Area Defense) แถมกองทัพอเมริกายังมีจรวดแพทริออต(PATRIOT) เป็นระบบยิงสกัดขีปนาวุธจากพื้นสู่อากาศ ทำให้โอกาสที่จะโดนโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์เป็นไปได้ยาก”

     อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญข้างต้นตั้งข้อสังเกตทิ้งท้ายไว้ว่า สงครามโลกครั้งที่ 3 นั้น หากเกิดขึ้นจริง น่าเป็นห่วงว่าจะมีมนุษย์รอดชีวิตจากสงครามนี้น้อยนัก เพราะอาวุธมหันตภัยร้ายแรงที่หลายประเทศแอบผลิตและซุกซ่อนเก็บไว้นั้นอานุภาพร้ายแรงกว่าหัวรบนิวเคลียร์ และอาวุธเคมี หลายเท่านัก นั่นคือ อาวุธเชื้อโรค !

     ปัจจุบัน “อาวุธ” ถูกแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ “อาวุธสงครามสามัญ” เช่น ปืน ปืนกล ระเบิด จรวด ปืนรถถัง ฯลฯ และ “อาวุธทำลายล้างสูง” (Weapons of Mass Destruction : WMD) แบ่งเป็น 3 ชนิด ได้แก่ อาวุธนิวเคลียร์ (Nuclear Weapons) อาวุธเคมี (Chemical Weapons) และอาวุธชีวภาพ (Biological Weapons) ซึ่งเป็นอาวุธที่ออกแบบมาเพื่อทำให้คนจำนวนมากบาดเจ็บล้มตายในชั่วพริบตา

     พวกเราส่วนใหญ่เรียนรู้มหันตภัยของระเบิดนิวเคลียร์ด้วยประสบการณ์จากญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่มีหลายประเทศไม่หลาบจำ ยังอยากพัฒนาและสะสมนิวเคลียร์ไว้เป็นอาวุธ เครือข่ายเอ็นจีโอที่ต่อต้านการผลิต “อาวุธทำลายล้างสูง” หรือ “อาวุธพิฆาตมนุษยชาติ” ประเมินว่าขณะนี้มี 9 ประเทศด้วยกัน ที่มีหัวรบนิวเคลียร์ประจำการหรือเก็บอยู่ในคลังอาวุธ รวมกันแล้วประมาณ 1.5 หมื่นลูก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา รัสเซีย จีน ฝรั่งเศส อังกฤษ อินเดีย ปากีสถาน อิสราเอล และเกาหลีเหนือ และมีอีก 2 ประเทศที่เชื่อกันว่าสามารถผลิตได้แล้วคือ อิหร่าน และยูเครน เพียงแต่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจน

     การสะสมหัวรบนิวเคลียร์กว่า 1.5 หมื่นลูกยังไม่น่าเป็นห่วงเท่ามหันตภัยล้างโลกในรูปแบบ “อาวุธเคมี” (Chemical Weapons) หรือ อาวุธที่พัฒนาใส่สารออกฤทธิ์เป็นพิษร้ายสู่ร่างกายมนุษย์โดยตรง

     นั่นคือสาเหตุที่อเมริกาต้องยิงโทมาฮอว์กถล่มซีเรีย เพื่อปรามให้รู้ว่าการใช้อาวุธเคมีเป็นสงครามต้องห้ามอย่างเด็ดขาด แม้ว่ารัฐบาลซีเรียออกมาปฏิเสธว่าเคยผลิตได้จริงแต่เลิกใช้มา 4-5 ปีที่แล้ว แต่หลักฐานจากเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่ส่งไปตรวจที่ห้องแล็บยืนยันว่า วันที่ 4 เมษายน ที่ผ่านมา มีอาวุธก๊าซพิษซาริน (Sarin) หรือสารบางอย่างที่มีองค์ประกอบทางเคมีใกล้เคียงกัน

     สถานการณ์ปัจจุบันเชื่อว่า มีอย่างน้อย 12 ประเทศที่พัวพันกับการทดลองผลิตและสะสมอาวุธเคมี ประเทศที่มีอาวุธเคมีไว้ในครองครอง 6 ประเทศ ได้แก่ จีน อียิปต์ อิสราเอล ซีเรีย อิหร่าน และเกาหลีเหนือ และมีอีก 6 ประเทศที่มีคลังสินค้าพร้อมผลิตอาวุธเคมี ได้แก่ อเมริกา รัสเซีย เกาหลีใต้ อินเดีย ลิเบีย และแอลเบเนีย ใครซ่อนอาวุธพิฆาต“นิวเคลียร์ เคมี เชื้อโรค”สงครามโลก 3!

     อาวุธเคมีมิได้เกิดจากแรงระเบิด แต่เป็นการใช้สารพิษ เช่น ไซยาไนด์ คลอรีน ซาริน มัสตาร์ด (Mustard gas) ฯลฯ ที่มุ่งทำร้ายไม่ใช่แค่ มนุษย์ แต่ยังใช้กับสัตว์ พืชหรือสิ่งแวดล้อมของศัตรู เพื่อตัดฐานกำลังด้านอาหารหรือการขนส่งต่างๆ วิธีใช้ส่วนใหญ่จะให้ “สปาย” หรือสายลับลักลอบนำไปปล่อยให้แพร่กระจายทางอากาศเป็นละอองฝอย หรือใส่ในน้ำ ดิน ฯลฯ

     สำหรับอาวุธที่น่าหวาดผวาที่สุดในปัจจุบันคือ “อาวุธเชื้อโรค” หรือ “อาวุธชีวภาพ” (Biological Weapon) เชื่อกันว่าพวกมันสามารถทำลายล้างมวลมนุษย์ให้ตายอย่างทุกข์ทรมานได้เป็นจำนวนมหาศาล อาวุธของสงครามโลกครั้งที่สามอาจเป็นการนำเชื้อโรคร้ายที่ดัดแปลงให้ไม่มียารักษา แล้วบรรจุใส่หัวรบจรวดยิงไปยังพื้นที่เป้าหมายที่ต้องการ

     ปัจจุบันคาดว่ามีอย่างน้อย 9 ประเทศที่ศึกษาทดลองและผลิตทดลองใช้เรียบร้อยแล้ว โดยประเทศที่ถูกประณามว่าเคยใช้อาวุธเชื้อโรค คือ อิสราเอล รัสเซีย และเกาหลีเหนือ ส่วนประเทศที่กำลังทดลองผลิต ได้แก่ จีน อิหร่าน อียิปต์ และซีเรีย ขณะที่ปากีสถานและอินเดีย เป็น 2 ประเทศที่ถูกจับตามองแต่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจน แม้แต่ เชื้อไวรัสอีโบลา (Ebola virus) ที่แพร่ระบาดในแอฟริกาตะวันตก แถวประเทศกินี เซียร์ราลีโอน ไลบีเรีย มีนักวิทยาศาสตร์บางคนตั้งข้อสังเกตว่า เชื้อไวรัสร้ายตัวนี้อาจหลุดออกมาจากห้องทดลอง หรือมีการจงใจแอบทดลองอาวุธเชื้อโรค ว่ามีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงไร เพราะเป็นเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่แพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว หากใครสัมผัสเชื้อหรือผู้ป่วยที่เป็นพาหะ อาจเสียชีวิตได้ภายในไม่กี่วัน โดยมีผู้เสียชีวิตด้วยไวรัสอีโบลาไปแล้วกว่า 1.1 หมื่นคน ในเวลาเพียงไม่ถึง 2 ปี 

ใครซ่อนอาวุธพิฆาต“นิวเคลียร์ เคมี เชื้อโรค”สงครามโลก 3!

     ในวันนี้ ไม่มีใครรู้ชัดเจนว่า 9 ประเทศที่กำลังทดลองผลิตอาวุธเชื้อโรคนั้น ได้พัฒนาขีดความสามารถของเชื้อร้ายไปถึงไหนแล้ว ที่น่าสนใจคือ “ภาคีอนุสัญญาห้ามพัฒนาผลิตอาวุธชีวภาพ”(Biological Weapons Convention) ที่เริ่มตั้งแต่ปี 1972 นั้น มีประเทศเข้าร่วมเป็นภาคีทั้งหมดถึง 178 ประเทศทั่วโลก แต่ที่ลงนามให้สัตยาบันว่าจะไม่ผลิต ไม่ครอบครอง ไม่ใช้อาวุธเชื้อโรคนั้น มีเพียง 109 ประเทศเท่านั้น

     รวมถึงประเทศไทย ที่ให้สัตยาบันตั้งแต่ 17 มกราคม 1973 ทำให้สบายใจได้ว่า “กองทัพไทย” จะไม่ผลิตอาวุธมหันตภัยนี้อย่างแน่นอน เพียงแต่สงสัยว่า หากเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ด้วยการใช้อาวุธเชื้อโรคทำลายล้างกันจริง รัฐบาลไทยมีมาตรการฉุกเฉินหรือได้เตรียมการป้องกันไว้อย่างไรบ้าง ?

 

 ทีมข่าวรายงานพิเศษ

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ