คอลัมนิสต์

“เอ็มโอเอบี”มารดาโคตรระเบิด มหาประลัย!!!

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"ทรัมป์" เขย่าโลก!!!!  เมื่อ"สหรัฐอเมริกา" เปิดปฏิบัติการทำสงครามกับ"กลุ่มไอเอส"อีกครั้ง ในค่ำคืนวันสงกรานต์บ้านเรา  ทำเอาทั่วโลกแตกตื่น!! กันอีกครั้ง

           "สหรัฐอเมริกา" เปิดปฏิบัติการทำสงครามกับ"กลุ่มไอเอส" ด้วยการทิ้งระเบิดมหาประลัยขนาดยักษ์ มีอานุภาพทำลายล้างสูง ลงในพื้นที่ "ประเทศอัฟกานิสถาน"ช่วงเวลา 19.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น โดยระเบิดดังกล่าวมีชื่อว่า “A GBU-43/B หรือ Massive Ordnance Air Blast Bomb หรือ MOAB”

         ปฏิบัติการครั้งนี้กองทัพสหรัฐอ้างว่า ต้องการทำลายเครือข่ายอุโมงค์ใต้ดิน ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของกลุ่มที่เรียกตนเองว่า รัฐอิสลาม (ไอเอส) จังหวัดนานกาฮาร์ ของอัฟกานิสถาน โดยเน้นทำลายเครือข่ายของไอเอสที่ใช้อุโมงค์ใต้ดินและถ้ำดังกล่าวเป็นแหล่งหลบซ่อน และเคลื่อนไหว โดยช่องทางใต้ดินเหล่านี้ทำให้ทหารสหรัฐและกองกำลังอัฟกานิสถานถูกซุ่มโจมตีบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก

         ว่ากันว่าสาเหตุที่ทำให้ปฏิบัติการโจมตีครั้งนี้ เกิดขึ้นอย่างจริงจังเมื่อทหารในหน่วยรบพิเศษของกองทัพสหรัฐถูกกลุ่มไอเอสสังหารในจังหวัดนานกาฮาร์ เมื่อสัปดาห์ก่อน

          ภายหลังปฏิบัติการประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ของสหรัฐ ชื่นชมว่าปฏิบัติการโจมตีครั้งนี้ ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก พร้อมยืนยันว่า เป็นผู้ลงนามอนุมิติภารกิจทำลายล้างเครือข่ายไอเอสด้วยน้ำมือของเขาเอง

         การถล่มฐานที่มั่นไอเอสในอัฟกานิสถานครั้งนี้เรียกว่า สหรัฐสามารถปิดภารกิจไปแบบเนียน ๆ แต่สิ่งที่ทำให้คนทั้งโลกกล่าวขวัญถึงกลับไม่ใช่ปฏิบัติการรบที่เกิดขึ้นในครานี้แต่อย่างใด

         วันนี้คนทั้งโลก กลับพุ่งเป้าไปจ้าวแห่งอาวุธทำลายล้าง “เอ็มโอเอบี” หรือโคตรระเบิดหมาประลัยบรรลัยกัลป์ที่กองทัพสหรัฐภูมิใจส่งมันมา "ปิดจ็อบ" กลุ่มไอเอส

         เพียงชั่วข้ามคืนผู้คนต่างกล่าวขวัญถึง “เอ็มโอเอบี” โดยเฉพาะโซเชียลทั่วโลกต่างแชร์ภาพ และขุดรากเหง้าของเจ้าระเบิด “เอ็มโอเอบี” ให้ทุกคนได้เห็นหน้าค่าตาว่ามีความเป็นมาอย่างไร

         “เอ็มโอเอบี” ไม่ใช่ระเบิดนิวเคลียร์ แต่มันเป็น “ระเบิดใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา”มีความยาว 9 เมตร หนัก 9,800 กิโลกรัม

          ยิ่งไปกว่านั้น โคตรระเบิดตัวแม่  ยังมีอานุภาพทำลายล้างรุนแรงแบบสุดๆ โดยได้รับการเรียกขานกันว่า “มารดาแห่งระเบิด”

           ที่เด็ดสุด ๆ คือ “เอ็มโอเอบี” ใช้ระบบนำร่องด้วยจีพีเอส แต่ด้วยความที่มันใหญ่โตมหึมา จึงต้องใช้เครื่องบินขนส่งเอ็มซี-130 เป็นพาหนะในการหย่อนระเบิด ซึ่งกลไลการทำงาน จะจุดชนวนขึ้นก่อนที่ระเบิด จะตกถึงพื้นดินเกือบจะในทันที

          ระเบิด“เอ็มโอเอบี” ต้องเคลื่อนตัวจากเครื่องบินขนส่ง พร้อมฐานรอง และใช้ชูชีพเป็นตัวกระตุกให้ระเบิดร่อนลง ส่วนหางมีลักษณะคล้ายใบพัดสี่แฉก จะเป็นตัวนำทางให้ร่อนลงโดยไม่ผิดทิศทาง และระเบิดชนิดนี้ สามารถแผ่คลื่นอัดอากาศจำนวนมหาศาลทำให้เกิดแรงอัดขนาดยักษ์กระจายไปได้ในทุกทิศทางกินระยะทางประมาณ “1 ไมล์” (ประมาณ 1.6 กิโลเมตร) ซึ่งเป็นผลมาจากแรงระเบิดทีเอ็นทีขนาด 18,000 ปอนด์

          ขณะที่ตัวระเบิดทำจากอะลูมิเนียมบาง โดยถูกออกแบบมาเพื่อให้แรงระเบิดแผ่รัศมีไปในวงกว้างมากที่สุด โดยมีเป้าหมายเพื่อทำลายสิ่งก่อสร้าง และอุโมงค์ใต้ดิน

          “มารดาแห่งระบิด”ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ใน “สงครามอิรัก” โดยบริษัทไดเนติกส์ ในรัฐแอละบามา ใช้ต้นทุนในการผลิตอยู่ที่ลูกละ 16 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นเงินไทย ประมาณ 560 ล้านบาท

           การทดสอบเอ็มบีโอเอบีครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อ “ปี 2546”  การทดสอบครั้งนั้นว่ากันว่า แรงระเบิดทำให้คนทั่วไปสามารถมองเห็นกลุ่มควันคล้ายเห็ดดอกใหญ่ในระยะไกลถึง 32 กิโลเมตร

         ไม่เพียงเท่านั้น การทดลองระบิดเอ็มโอเอบี  เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว กระทั่งถูกนำมาใช้จริงในปฏิบัติการบอมป์ฐานที่มั่นถล่มกลุ่มไอเอสอัฟกานิสถานในครั้งนี้ และเนื่องจากระบิดนี้ไม่ใช่อาวุธนิวเคลียร์ การทิ้งระเบิดเอ็มโอเอบี จึงไม่จำเป็นต้องได้รับอนุมัติจากประธานาธิบดีสหรัฐแต่อย่างใด

         เมื่อกองทัพสหรัฐมีมารดาแห่งระเบิดก่อนหน้านี้ กองทัพรัสเซียย่อมไม่ขอน้อยหน้า จึงพัฒนาระเบิดขนาดมหึมาชื่อ "เทอร์โมบาริก" (THERMOBARIC เช่นกัน โดยใช้ชื่อเรียกจนน่าเกรงขามว่า “บิดาแห่งระเบิดทั้งมวล” (Father of All Bombs)

            "เทอร์โมบาริก"เป็นระเบิดที่เชื้อเพลิงอากาศ) มีกลไกลการทำงานมีสองขั้นตอน ขั้นตอนแรก จะเป็นการการระเบิดขนาดเล็กเพื่อปลดปล่อยวัตถุระเบิดไปทุกทิศทาง และขั้นที่สองจะจุดชนวนระเบิด ทำให้เกิดคลื่นอัดอากาศ ที่มีอานุภาพทำลายล้างรุนแรงแผ่ไปทั่ว

         ได้รับรู้ความสะพรึงของมหาประลัยระเบิดระดับ "ตัวแม่-ตัวพ่อ" กันแล้ว ทำให้รู้ได้ว่า โลกทุกวันนี้ไม่เคยปลอดจากการเข่นฆ่าทำลายล้าง เพราะไม่ว่ามันจะผ่านไปกี่ร้อยล้านปี เมื่อถึงที่สุดการแก้ปัญหาด้วย "ความรุนแรง" ยังถูกนำใช้ในการตัดสินชีวิตผู้คนมากว่าการใช้ “สันติวิธี”

          “ถูกผิด-ดำขาว-ชั่วดี” ไม่สำคัญ...อ่อนแอก็แพ้ไป..นี่แหละโลกแห่งความจริง!!! 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ