ผ่านมา 10 วันกับการตรวจค้นวัดพระธรรมกาย ลงทุน ลงแรงไปเท่าไหร่ คุ้มหรือไม่ ได้อะไรกลับมาบ้าง
นับจากเที่ยงคืนของวันที่ 16 ก.พ. 60 ถือเป็นเวลาเปิดปฏิบัติการปิดล้อม ตรวจค้นธรรมกาย ตามจับตัว “ธัมมชโย” ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญา ที่มีพฤติกรรมไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างโจ่งแจ้ง
เริ่มต้นจากการประกาศใช้มาตรา 44 สั่งการให้พื้นที่วัดพระธรรมกายเป็นพื้นที่ควบคุม คนในต้องออก คนนอกห้ามเข้า โดยจัดวางกำลังไว้กว่า 3,000 นาย
24.00 น. ทหารเคลื่อนเข้าประจำจุดบล็อกไม่ให้มวลชนหลั่งไหลเข้ามาเติมกำลังในวัดธรรมกาย 03.00 น.กำลังตำรวจเข้าตรึงประตูวัดทั้ง 15 ประตู จากนั้น 04.00 น. 19 ชุดตรวจค้นของดีเอสไอพร้อมเข้าปฏิบัติการ แผนคือคัดกรองผู้ไม่เกี่ยวข้องออกจากวัด เพื่อตรวจค้นเต็มรูปแบบตามอำนาจ. แต่เอาเข้าจริง ครึ่งวันของปฏิบัติการวันแรกหมดไปกับการเจรจาโอ้โลม 13.00 น.จึงเริ่มเดินเท้าเข้าตรวจค้นพื้นที่โซนเอและบี แต่ก็ยังพบกำแพงพระสงฆ์ขัดขวาง เรียกว่าวันแรกแทบไม่ได้ทำงาน
วันที่ 2 ปฏิบัติการตรวจค้นที่เสมือนการทัวร์เยี่ยมชมบริเวณวัด โดยมีพระสงฆ์เป็นผู้นำการตรวจค้น ท่ามกลางการเดินประกบของกลุ่มศิษย์ และขอหยุดพักการค้นในช่วงฉันเพล โดยในห้องพยาบาลปลอดเชื่อ ที่เชื่อว่าเป็นจุดพักรักษาอาการอาพาธ ถลกผ้าออกก็เจอแต่ม้วนผ้าห่มวางในตำแหน่งขา ลำตัว และศรีษะ กับตู้ไฮเปอร์บาริค ที่สร้างความฉงนสนเท่ห์ว่ามีไว้รักษาแผลเบาหวาน หรือเพื่อกิจกรรมสร้างออร่า
วันที่ 3 ดีเอสไอนำผู้เชี่ยวชาญเข้าตรวจสอบตู้ไฮเปอร์บาริค ตอบคำถามมีไว้ใช้เพื่อบำบัดรักษาอาการป่วยด้านใด ความถี่มีการเปิดใช้เครื่อง และถูกใช้งานครั้งสุดท้ายเมื่อไร จากนั้นก็ประกาศปิดตึก อายัดทั้งอาคารดาวดึงส์ ห้ามเข้าใช้งานเด็ดขาด
ประมาณการว่า 3 วันแรก ดีเอสไอใช้งบประมาณในการดูแลกำลังพลของทหาร ตำรวจและดีเอสไอ เฉลี่ย 3-4 ล้านบาทต่อวัน
จากนั้นได้ประเมินสถานการณ์ว่าไม่มีการต่อต้านขัดขวางรุนแรง จึงตัดสินใจผ่อนปรนลดกำลังแบบฮวบฮาบ รอบวัดเหลือเพียง 3 กองร้อย
แต่หลังจากมีเหตุมวลชนธรรมกายบุกขอคืนพื้นที่วัดในปฏิบัติการวันที่ 4 พระสงฆ์สาวเท้าเข้าตบหน้า แย่งกล้องถ่ายภาพจากเจ้าหน้าที่หญิง สังกัดดีเอสไอ จนต้องเติมกำลังเข้ามาเป็น 4,000 นายพร้อมจัดชุดดีเอสไอเข้าเวรคุมพื้นที่ 2 ผลัด 24 ชม.
คาดว่างบประมาณที่ดีเอสไอต้องจ่ายพุ่งสูงจากวันละ 3-4 ล้านบาทเป็น 4-5 ล้านบาทต่อวัน เรียกว่าสถานการณ์นี้ทำเอาดีเอสไอหมดเงินไปหลายสิบล้านบาท ประมาณการว่าถึงวันที่สิบอาจจะใช้ไปแล้วถึง 40 ล้านบาท
โดยงบประมาณที่ต้องจ่ายหลักๆเป็นเรื่องของ เบี้ยเลี้ยง ,อาหาร นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่นค่าน้ำมัน ที่ใช้สำหรับสับเปลี่ยนกำลังพล หรือใช้ขับตรวจรอบวัด ว่ากันว่า แค่ค่ำน้ำมันส่วนนี้ก็หมดแล้วเป็นแสนบาท นอกจากนี้ยังมีค่าใช้เฮลิคอปเตอร์ซึ่งเป็นหลักหลายแสนบาท รวมไปถึงค่าใช้สถานที่ และค่าจิปาถะ
ที่น่าสนใจคืองบประมาณทั้งหมด เป็น “ดีเอสไอ” ที่ต้องจ่าย ไม่ใช่ทหารหรือตำรวจ
สรุปปฏิบัติการ 9 วัน ยังไม่พบตัว “ธัมมชโย” แต่การแตะเข้าไปที่ตู้ไฮเปอร์บาริค จากรพ.ยันฮี ก็ดี วัตรปฏิบัติที่มีทั้งฟิตเนส เครื่องออกกำลังกาย ครีมล้างหน้า อุปกรณ์ประทินผิว ดุจฟิตเนสหรูในระบบบอกรับสมาชิก และอาการแข็งขืนไม่ยอมให้ตรวจค้นแบบสแกนละเอียดทุกซอกทุกมุม ส่งผลกระเทือนต่อต่อมศรัทธาของผู้เลื่อมใสใหม่ กระตุกวงการสงฆ์ และคนในรัฐบาล ว่าถึงเวลาต้องจัดระเบียบธรรมกาย. ซึ่งตามมาด้วยการเผชิญหน้า เพราะธรรมกายมีโครงข่ายแทรกไปในแวดวงราชการ ธุรกิจ การเมือง และมวลชนคนชั้นกลาง
เกมนี้เดิมพันคือการ ล่มสลาย ธรรมกายก็ต้องระดมทุกอย่างออกมาคัดง้าง ส่วนคสช. ที่ออกหน้าโดยดีเอสไอ นอกจากจัดไม้นวมออกหมายเรียกพระสงฆ์ 14 รูป จี้เข้าไปที่พระทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสซึ่งปฏิเสธไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจค้นวัด 100 % ประกาศเส้นตายให้ทั้งคนและพระออกจากธรรมกาย จนต้องยกระดับด้วยตัดสัญญาณการสื่อสารในธรรมกาย และยังอาจต้องไปต่อถึงการตัดน้ำตัดไฟ ในส่วนของหมายค้นจะหมดลงในเวลา 10 วัน แต่มาตรา 44 ยังให้อำนาจค้นได้ตลอด.
แม้ท้ายที่สุดปฏิบัติการอันเป็นภารกิจสำคัญของดีเอสไอ ที่ดึงพนักงานสอบสวนและเจ้าหน้าที่คดีพิเศษ 300 คน เฉลี่ยสำนักคดีละ 30 คน ต้อง ร่วมเป็นชุดตรวจค้น แม้จะไม่ได้ตัว“ธัมมชโย”. แต่ปลายทางที่จัดไว้รอ มีเค้าลางว่าเป็นการประกาศให้พระสงฆ์ในธรรมกายเข้ารายงานตัวต่อเจ้าคณะปกครอง สงฆ์ท่ีฝ่าฝืนให้ต้องพ้นจากความเป็นสงฆ์
เปิดทางให้สำนักพุทศาสนาแห่งชาติ และมหาเถระสมาคมเข้าตรวจสอบและทำบัญชีทรัพย์สินของวัดธรรมกาย ควบคุมทรัพย์สินของวัดแยกส่วนออกจากมูลนิธิต่างๆของธรรมกาย และแต่งตั้งรักษาการเจ้าอาวาสเข้ามาดูแลธรรมกายแทน“ธัมมชโย” ผู้ต้องหาหนีคดี
แม้ไม่เจอ แต่ก็ไม่ถือว่า “มือเปล่า” แต่จะคุ้มหรือไม่ต้องประเมินอีกที
ข่าวที่เกี่ยวข้อง