คอลัมนิสต์

เปิดคำพิพากษา 3 ศาล "คดีครูจอมทรัพย์"

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เปิดคำพิพากษาฉบับเต็ม“ศาลนครพนม”-“ศาลอุทธรณ์ ภาค 4”-“ศาลฎีกา”คดีครูจอมทรัพย์ "

 

        คำพิพากษาศาลจังหวัดนครพนม

       คดีนี้ พนักงานอัยการจังหวัดนครพนม ได้เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร  อดีตครูในโรงเรียนแห่งหนึ่งของจังหวัดสกลนคร ต่อศาลจังหวัดนครพนม เมื่อวันที่ 7 ก.ค. พ.ศ. 2548  ในข้อหา ความผิดต่อชีวิต, ประมาท, ความผิดต่อ  พ.ร.บ.จราจรทางบก 

         ต่อมาศาลจังหวัดนครพนม มีคำพิพากษา เมื่อวันที่  25 ส.ค. พ.ศ.2549 ว่า พิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบแล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า  เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2548 เวลากลางคืน  มีเหตุเกิดขึ้นที่  ถนนสายธาตุน้อย-นาเหนือ ต.ท่าลาด อ.เรณูนคร จ.นครพนม มีผู้ขับขี่รถยนต์ชนจักรยานที่มีนายเหลือ พ่อบำรุง เป็นผู้ขับขี่ เป็นเหตุให้นายเหลือถึงแก่ความตาย ต่อมาเจ้าพนักงานสืบทราบว่า รถยนต์คันที่เฉี่ยวชนผู้ตายมีหมายเลขทะเบียน บค 56 สกลนคร จึงทำการตรวจสอบจนทราบว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองรถคันดังกล่าวอยู่ในขณะเกิดเหตุ ทั้งได้ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบร่องรอยการเฉี่ยวชนของรถคันดังกล่าวแล้ว เชื่อว่ารถดังกล่าวเฉี่ยวชนกับรถจักรยานของผู้ตายจริง จึงจับตัวจำเลยมาดำเนินคดี

        มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่  

        โจทก์มี นางทัศนีย์ หาญพยัคฆ์ เบิกความว่า วันเวลาเกิดเหตุพยานเห็นรถยนต์กระบะคันหนึ่งแล่นแซงรถจักรยานยนต์ของพยาน  ล้ำเข้าไปในช่องทางเดินรถที่ผู้ตายขี่รถจักรยานสวนทางมา จนเฉี่ยวชนผู้ตายแล้วคนขับรถยนต์หยุดรถ  พยานหันคันบังคับรถจักรยานยนต์ไปยังบริเวณที่รถยนต์กระบะจอดอยู่เพื่อให้ไฟหน้ารถจักรยานยนต์ของพยานส่องไปเห็นป้ายทะเบียน ปรากฏหมายเลขทะเบียน บค 56 สกลนคร

         เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์ในขณะเกิดเหตุเป็นช่วงเวลากลางคืน และสภาพที่เกิดเหตุซึ่งเป็นถนนสองช่องทางเป็นช่องทางเดินขึ้นทางหนึ่งและทางล่องอีกทางหนึ่ง และไม่มีแสงไฟส่องสว่าง การที่รถยนต์คันดังกล่าวขับแซงรถจักรยานยนต์ล้ำเข้าไปในช่องทางเดินรถที่สวนมาโดยไม่ใช้ความระมัดระวังว่า มีรถแล่นสวนมาในช่องทางเดินรถอีกช่องทางหนึ่งหรือไม่ แสดงให้เห็นว่ารถยนต์คันดังกล่าวถูกขับมาด้วยความประมาทเลินเล่อ

        ส่วนในประเด็นว่า รถยนต์คันดังกล่าวมีหมายเลขทะเบียนอะไรนั้น นางทัศนีย์ เบิกความว่าใช้แสงไฟฟ้าของรถจักรยานยนต์ที่ขับขี่ส่องไปบริเวณท้ายรถยนต์ที่จอดอยู่ห่างประมาณ 10 เมตร สามารถเห็นหมายเลขทะเบียนได้ชัดเจน จึงน่าเชื่อว่าข้อเท็จจริงจะเป็นไปตามที่นางทัศนีย์เบิกความว่า สามารถจดจำหมายเลขทะเบียนรถยนต์คันที่ชนผู้ตายได้ตั้งแต่ในที่เกิดเหตุ

        ต่อมาพนักงานสอบสวนตรวจสอบหมายเลขทะเบียนรถยนต์คันดังกล่าวจนกระทั่งทราบเจ้าของรถและนำรถมาให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ ร.ต.อ.ทศพล ธรรมวงศ์ ผู้ตรวจพิสูจน์ก็ตรวจพบว่าบริเวณฝากระโปรงด้านหน้าข้างซ้ายรถ มีรอยครูดใหม่และบริเวณใกล้กับโคมไฟหน้ามีลักษณะกระทบกับวัตถุที่มีน้ำหนักและอ่อนนุ่มเช่นส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายคน จนปรากฏรอยเส้นประทับอยู่ และตรวจพบสีเขียวที่บริเวณตะเกียบกับบังโคลนด้านหน้ารถจักรยานของผู้ตาย โดยความเห็นของ ร.ต.อ.ทศพล ก็สอดคล้องกับความเห็นของผู้ตรวจสอบความเสียหายของรถยนต์

          และสอดคล้องกับความความเห็นของพยานอีกปาก คือ นายประพัฒน์ แสนเมืองโคตร  เบิกความว่า  พยานซื้อรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน บค 56 สกลนคร  จากจำเลย เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2548 แล้วจำเลยขอยืมรถไปใช้ทำธุระแจ้งว่า  จะนำมาคืนตอนเย็นของวันเดียวกัน แต่ก็ไม่นำมาคืนตามนัด  พยานไปรับรถคืนที่บ้านจำเลยเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2548 พบร่องรอยขูดขีดที่กระโปรงรถด้านซ้ายอันเป็นรอยที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

         ต่อมาพนักงานสอบสวนได้ส่งชิ้นส่วนรถจักรยานของผู้ตาย ที่มีสีเขียวติดอยู่กับแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ ไปตรวจพิสูจน์ที่กองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  ร.ต.อ.หญิง ประทุม พรมมี ผู้ตรวจพิสูจน์ก็ยังลงความเห็นว่า   สีเขียวที่ปรากฏในชิ้นส่วนรถจักรยานผู้ตาย เป็นสีเขียวชนิดเดียวกับสีเขียวของแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์

        คำเบิกความของนางทัศนีย์  ประจักษ์พยานประกอบความเห็นของผู้ชำนาญการพิเศษทั้งสองปาก มีน้ำหนักมั่นคงให้รับฟังว่า มีผู้ขับรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน บค 56 สกลนคร ด้วยความประมาทเลินเล่อเฉี่ยวชนกับรถจักรยานของผู้ตาย เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายจริง

       สำหรับในประเด็นว่าใครเป็นผู้ขับรถยนต์ฺคันดังกล่าวชนผู้ตายนั้น  นายประพัฒน์  เบิกความยืนยันว่า จำเลยเป็นผู้ครอบครองรถยนต์คันดังกล่าวในช่วงเกิดเหตุ ซึ่งจำเลยก็เบิกความรับเช่นนั้น

       และแม้นางทัศนีย์ จะเบิกความในชั้นศาลว่า พยานเห็นคนขับรถยนต์กระบะลงมาจากรถด้วยและยืนยันว่าคนขับเป็นผู้ชาย โดยนายทวีเลิศและนายสว่าง พ่อบำรุง ซึ่งเป็นน้องชายผู้ตายต่างเบิกความว่า นางทัศนีย์มาเล่าข้อเท็จจริงดังกล่าวให้นายทวีเลิศ ฟังด้วย และนายทวีเลิศ ก็มาเล่าให้นายสว่าง ฟังอีกต่อหนึ่ง แต่ในบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของนางทัศนีย์และนายทวีเลิศ ก็ไม่ได้ระบุถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวเอาไว้ ทั้งที่เป็นข้อเท็จจริงในส่วนที่สำคัญ โดยนางทัศนีย์ เบิกความว่า ได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนไว้แล้ว แต่พนักงานสอบสวนไม่ได้บันทึกไว้ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ขัดต่อเหตุผลและผิดปกติอย่างยิ่งที่พนักงานสอบสวนจะไม่ได้บันทึกว่าประจักษ์พยานเห็นผู้กระทำความผิดว่าเป็นชายหรือหญิง อีกทั้งจะสันนิษฐานว่าพนักงานสอบสวนกระทำการโดยจงใจไม่บันทึกคำให้การเช่นว่านั้นเพื่อให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะในขณะสอบปากคำพยานดังกล่าว พนักงานสอบสวนก็ยังไม่ทราบว่า เจ้าของรถยนต์กระบะคันที่เกิดเหตุเป็นชายหรือหญิง คำให้การในชั้นสอบสวนในส่วนนี้จึงน่าเชื่อว่าจะเป็นความจริงยิ่งกว่าคำเบิกความของพยานในชั้นพิจารณา

        พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักมั่นคงให้รับฟังได้ว่า จำเลยเป็นผู้ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน บค 56 สกลนคร ไปในที่เกิดเหตุจริง ที่จำเลยนำสืบว่าไม่ได้ขับรถไปในบริเวณเกิดเหตุนั้น ก็มีเพียงตัวจำเลยและนางยุพิน ซึ่งเป็นญาติของจำเลยมาเบิกความเท่านั้น จึงเป็นเรื่องง่ายแก่การกล่าวอ้างและมีน้ำหนักน้อย ส่วนที่จำเลยมีนายคึกฤทธิ์ สุนรบดี เจ้าพนักงานขนส่ง มาเบิกความว่า สีเขียวบริเวณตัวอักษรและขอบแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล เหมือนกันทั่วประเทศนั้น แต่คดีนี้โจทก์มีพยานหลักฐานเชื่อมโยงตั้งแต่คำของประจักษ์พยาน, ผู้ชำนาญการผู้ตรวจร่องรอยการเฉี่ยวชน และผู้ทำการตรวจพิสูจน์ชิ้นส่วนรถจักรยานกับแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ ไม่ได้อาศัยเพียงผลการตรวจพิสูจน์ที่ระบุว่า สีเขียวที่ติดอยู่บริเวณชิ้นส่วนรถจักรยานเป็นสีเขียวชนิดเดียวกับสีเขียวของแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์เท่านั้น จึงไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ 

        พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 3 ปี, ฐานไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควร และไม่ไปแสดงตัวกับแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที จำคุก 2 เดือน รวมจำคุก 3 ปี 2 เดือน 

**************************

เปิดคำพิพากษา 3 ศาล "คดีครูจอมทรัพย์"

       ****************

       คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 4

      คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า จำเลยเป็นผู้ขับรถยนต์ชนรถจักรยานที่ผู้ตายขับขี่หรือไม่ 

      ศาลเห็นว่า นางทัศนีย์ ประจักษ์พยานเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ไม่ได้บอกเพื่อนที่ขับขี่รถจักยานยนต์ตามหลังมาว่า รถยนต์กระบะคันที่ชนยี่ห้ออะไร หมายเลขทะเบียนอะไร และไม่ได้บอกญาติผู้ตายด้วยทำให้น่าสงสัย ว่าพยานจะเห็นหมายเลขทะเบียนรถยนต์กระบะดังกล่าวและจดจำได้หรือไม่ เพราะว่าถ้าพยานเห็นหมายเลขทะเบียนรถยนต์กระบะดังกล่าวและจดจำได้ พยานก็น่าจะต้องรีบบอกเพื่อนที่ขับรถจักรยานยนต์ตามมาทันทีว่า จำหมายเลขทะเบียนรถยนต์คันที่ชนผู้ตายได้เพื่อเป็นหลักฐานในการติดตามผู้ขับรถยนต์ชนผู้ตายและที่นางทัศนีย์เบิกความคนขับรถยนต์กระบะเป็นผู้ชาย ก็ไม่ตรงกับจำเลยซึ่งเป็นผู้หญิง

      ส่วนรถยนต์กระบะที่จำเลยขายให้นายประพัฒน์ และยืมไปในวันเกิดเหตุมีรอยครูดบริเวณด้านหน้าซ้ายนั้น เห็นว่า หากรถยนต์กระบะแล่นแซงรถจักรยานยนต์ที่นางทัศนีย์ ขับขี่ล้ำเข้าไปชนกับรถจักรยานที่ผู้ตายขับขี่สวนทางมา รถยนต์กระบะต้องแซงออกไปทางด้านขวาของรถจักยานยนต์ที่นางทัศนีย์ขับขี่และน่าจะเฉี่ยวชนกับรถจักรยานทางด้านขวาของรถยนต์กระบะ ดังนั้นรอยครูดที่ปรากฏทางด้านซ้ายของรถยนต์กระบะ จึงไม่น่าเชื่อว่า จะเกิดจากการเฉี่ยวชนกับรถจักรยานที่ผู้ตายขับขี่ 

        และที่มีสีเขียวของแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ติดอยู่ที่ตะเกียบหน้าซ้ายและบังโคลนหน้าของรถจักรยานนั้น แสดงว่า รถจักรยานถูกรถยนต์ชนบริเวณแผ่นป้ายทะเบียน ซึ่งน่าจะทำให้แผ่นป้ายทะเบียนมีร่องรอยการถูกชน แต่กลับได้ความ จาก ร.ต.อ.ทศพล ว่าแผ่นป้ายทะเบียนของรถยนต์กระบะดังกล่าวไม่มีรอยบุบ

         พยานหลักฐานโจทก์ยังมีเหตุอันควรสงสัยว่า จำเลยเป็นผู้ขับรถยนต์กระบะชนรถจักรยานที่ผู้ตายขับขี่หรือไม่ ซึ่งจำเลยได้ให้การปฏิเสธตลอดมา จึงเห็นควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลอุทธรณ์ภาค 4   พิพากษากลับให้ยกฟ้อง 

**************************

        **คำพิพากษาศาลฎีกา

      ศาลฯเห็นว่า คดีนี้ไม่ได้มีการจับกุมผู้กระทำความผิดได้ในที่เกิดเหตุ ดังนั้นจึงจำต้องพิจารณาเสียก่อนว่า รถยนต์กระบะคันเกิดเหตุมีหมายเลขทะเบียนอะไร ในข้อนี้ โจทก์มีนางทัศนีย์ ซึ่งเป็นประจักษ์พยาน เบิกความยืนยันว่า พยานเห็นและจดจำหมายเลขทะเบียนรถยนต์กระบะคันที่ชนผู้ตายได้ว่ามีหมายเลขทะเบียน บค 56 สกลนคร เห็นว่า แม้ว่าเหตุคดีนี้จะเกิดในเวลากลางคืนและบริเวณที่เกิดเหตุไม่มีแสงไฟจากเสาไฟฟ้าข้างทางส่องสว่างก็ตาม แต่นางทัศนีย์ ก็เบิกความว่า ใช้แสงไฟของรถจักรยานยนต์คันที่ตนขับส่องไปบริเวณท้ายรถยนต์ที่จอดอยู่ห่างประมาณ10 เมตร สามารถมองเห็นหมายเลขทะเบียนรถยนต์กระบะคันเกิดเหตุได้อย่างชัดเจน โดยยืนยันด้วยว่าไฟส่องสว่างด้านหน้ารถจักรยานยนต์ของตนยังอยู่ในสภาพดี และคำเบิกความดังกล่าวนี้ก็สอดคล้องกับในบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของนางทัศนีย์ ที่ได้ให้การใกล้ชิดกับวันเวลาที่เกิดเหตุ จึงน่าเชื่อว่า ข้อเท็จจริงเป็นไปตามคำเบิกความของนางทัศนีย์ เมื่อต่อมาพนักงานสอบสวนได้ตรวจสอบหมายเลขทะเบียนรถยนต์กระบะคันดังกล่าว จนกระทั่งทราบชื่อเจ้าของรถและนำรถมาให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ โดยมี ร.ต.อ.ทศพล ธรรมวงศ์ เป็นผู้ตรวจพิสูจน์ ซึ่งก็ได้ตรวจพบว่าบริเวณฝากระโปรงด้านหน้าข้างซ้ายของรถมีรอยครูดซึ่งมีลักษณะของการครูด 2 ครั้ง มีรอยครูดใหม่ทับรอยครูดเก่า และบริเวณใกล้กับโคมไฟหน้ามีลักษณะกระทบกับวัตถุที่มีน้ำหนักและอ่อนนุ่มเช่นส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายมนุษย์ จนปรากฏรอยเส้นประทับอยู่ และตรวจพบสีเขียวที่บริเวณตะเกียบกับบังโคลนด้านหน้ารถจักรยานของผู้ตายตามรายงานการตรวจพิสูจน์ ซึ่งความเห็นของ ร.ต.อ.ทศพล ก็สอดคล้องกับความเห็นของนายสุรพงษ์ ละมูลน้อย ผู้ตรวจสอบความเสียหายของรถยนต์กระบะที่มาเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า พยานได้ทำการตรวจสภาพรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน บค 56 สกลนครแล้ว พบว่าบนฝากระโปรงด้านซ้ายมีรอยครูดเก่าและรอยครูดใหม่จากด้านโคมไฟส่องหน้าเฉียงยาวไปถึงกระจกมองข้างด้านซ้าย

        และคำเบิกความของนายประพัฒน์ ที่ว่า เมื่อรับรถยนต์กระบะจากจำเลยพบรอยครูดใหม่ซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อน ความเห็นของร.ต.อ.ทศพล ตามรายงานการตรวจพิสูจน์ มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ

        นอกนั้นยังปรากฏข้อเท็จจริงต่อไปว่า ต่อมาพนักงานสอบสวนได้ส่งชิ้นส่วนรถจักรยานของผู้ตายที่มีสีเขียวติดอยู่กับแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์กระบะคันเกิดเหตุไปตรวจพิสูจน์ที่กองพิสูจน์หลักฐาน ซึ่ง ร.ต.อ.หญิงประทุม พรมมี  ผู้ตรวจพิสูจน์ก็ได้ลงความเห็นว่า สีเขียวที่ปรากฏในชิ้นส่วนรถจักรยานของผู้ตายเป็นสีเขียวชนิดเดียวกับสีเขียวของแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์กระบะ

        เมื่อพิเคราะห์คำเบิกความของนางทัศนีย์ ประจักษ์พยานโจทก์ประกอบความเห็นของผู้ตรวจพิสูจน์ทั้งสองปากแล้ว ทำให้มีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่า มีผู้ขับรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน บค 56 สกลนคร ด้วยความประมาทเลินเล่อเฉี่ยวชนกับรถจักรยานของผู้ตาย 

       ส่วนในข้อที่ว่า ผู้ใดเป็นคนขับรถยนต์กระบะคันดังกล่าวชนผู้ตายนั้น โจทก์มีนายประพัฒน์ มาเป็นพยานเบิกความยืนยันว่า จำเลยเป็นผู้ครอบครองรถยนต์กระบะคันดังกล่าวในช่วงเวลาเกิดเหตุ ซึ่งในข้อนี้จำเลยก็เบิกความรับว่าเป็นจริง 

       แม้นางทัศนีย์ จะเบิกความในชั้นศาลว่า พยานเห็นคนขับรถยนต์กระบะลงมาจากรถด้วยและยืนยันว่าคนขับเป็นผู้ชาย โดยนายทวีเลิศและนายสว่าง พ่อบำรุง ซึ่งเป็นน้องชายผู้ตายต่างเบิกความว่า นางทัศนีย์มาเล่าข้อเท็จจริงดังกล่าวให้นายทวีเลิศ ฟังด้วย และนายทวีเลิศ ก็มาเล่าให้นายสว่าง ฟังอีกต่อหนึ่ง แต่ในบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของนางทัศนีย์และนายทวีเลิศ ก็ไม่ได้ระบุถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวเอาไว้ ทั้งที่เป็นข้อเท็จจริงในส่วนที่สำคัญ โดยนางทัศนีย์ เบิกความว่า ได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนไว้แล้ว แต่พนักงานสอบสวนไม่ได้บันทึกไว้   ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ขัดต่อเหตุผลและผิดปกติอย่างยิ่งที่พนักงานสอบสวนจะไม่ได้บันทึกว่าประจักษ์พยานเห็นผู้กระทำความผิดว่าเป็นชายหรือหญิง อีกทั้งจะสันนิษฐานว่าพนักงานสอบสวนกระทำการโดยจงใจไม่บันทึกคำให้การเช่นว่านั้นเพื่อให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะในขณะสอบปากคำพยานดังกล่าว พนักงานสอบสวนก็ยังไม่ทราบว่า เจ้าของรถยนต์กระบะคันที่เกิดเหตุเป็นชายหรือหญิง คำให้การในชั้นสอบสวนในส่วนนี้จึงน่าเชื่อว่าจะเป็นความจริงยิ่งกว่าคำเบิกความของพยานในชั้นพิจารณา

       พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่า จำเลยเป็นคนขับรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน บค 56  สกลนคร ชนผู้ตายจริง ที่จำเลยนำสืบว่า ไม่ได้ขับรถไปในบริเวณที่เกิดเหตุนั้นก็มีเพียงจำเลยและนางยุพิน ปรีจิตร ซึ่งเป็นญาติของจำเลยมาเบิกความเป็นพยานเท่านั้น ซึ่งง่ายแก่การกล่าวอ้างและมีน้ำหนักน้อย

        พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นด้วย พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ