คอลัมนิสต์

จากใจ “ลูก” ถึง “พ่อ”

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เรื่องเล่าผ่านวิวไฟน์เดอร์ ช่างภาพบ้านนอก, นักกีฬาทีมชาติไทยของพระราชา, จากใจลูก...วันที่พ่อจากไกล, ปาฏิหาริย์ (ตีพิมพ์ในนสพ.คมชัดลึก ฉบับ 22 ต.ค.59)

 

“เรื่องเล่าผ่านวิวไฟน์เดอร์ ช่างภาพบ้านนอก”

             จากใจ “ลูก” ถึง “พ่อ”

            เมื่อครั้ง ในหลวง เสด็จออกมหาสมาคม ในพระราชพิธี 5 ธันวาคม 2555 ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม ลานพระราชวังดุสิต พระบรมรูปทรงม้า

            วันชื่นคืนสุข วันที่เหล่าพสกนิกรของพระองค์ต่างเฝ้ารอที่จะได้เห็น ได้ชื่นชมพระบารมี ทุกคนไม่ว่าใกล้ไกลต่างเดินทางมาหาที่ มาจับจองพื้นที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ใครมาก่อนก็อยู่ด้านหน้า ใครมาหลังก็อยู่ถัดออกไป บางกลุ่มบางคนมานั่งจับจองพื้นที่ตั้งแต่ช่วงค่ำก่อนวันงาน

             ในฐานะช่างภาพที่ต้องเข้าถวายงาน พวกเราต้องเข้าจุดที่ทางราชการจัดให้ไว้ตั้งแต่ตีสี่-ตีห้า เพราะไม่อย่างนั้นเราจะเข้าไปที่จุดที่กำหนดไม่ได้เลย เพราะมีประชาชนแน่นขนัดไปทุกตารางนิ้ว เราขอใช้คำว่าตารางนิ้ว เพราะคนที่ได้ไปในวันนั้น ทุกคนจะสัมผัสได้ว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

            เมื่อพระราชพิธีเริ่มขึ้น ท่ามกลางเสียงตะโกนร้อง “ทรงพระเจริญ” ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ขนลุกแล้วขนลุกอีก แม้ช่างภาพบ้านนอกจะเคยเข้าถวายงานมาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อครั้งพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้

            ข้าพเจ้ามองพระพักตร์ของพระองค์ท่านผ่านวิวไฟน์เดอร์ติดเลนส์เทเลระยะไกลขนาดใหญ่ อยู่ตลอดเวลา ไม่ทิ้งตาจากวิวไฟน์เดอร์ไปไหน ในการเสด็จออกมหาสมาคมครั้งนี้ พระองค์ท่านเพิ่งหายจากพระอาการประชวร พระพักตร์ของพระองค์ที่มองผ่านวิวไฟน์เดอร์ดูเหนื่อยและอ่อนล้า พระองค์รับสั่งด้วยพระสุรเสียงที่สั่นเทา แผ่วเบา จนข้าพเจ้าแอบน้ำตาเอ่อ เพราะพระองค์ท่านคงเหนื่อยทั้งกายและใจกับเรื่องราวในประเทศที่ผ่านมา

            ในท้ายสุดของพระราชพิธี เมื่อทุกอย่างดำเนินไปเสร็จสิ้น พระที่นั่งที่ประทับอยู่ก็ค่อยๆ เคลื่อนถอยหลังเข้าไปด้านใน พร้อมกับม่านที่ค่อยๆ เลื่อนมาปิดลงมา

            วินาทีนั้น ภาพที่มองเห็นผ่านวิวไฟน์เดอร์ผ่านเลนส์ถ่ายภาพระยะไกล 600 มม. “พระองค์ท่านค่อยๆ ไหลทรุดพระวรกายลงไปกับที่พิงของเก้าอี้พระที่นั่ง” ด้วยชุดคลุมทองทรงเครื่องบรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์ พร้อมเครื่องแบบเต็มพระยศ ที่มีน้ำหนักถึง 20 กิโลกรัม (เพิ่งได้รับรู้ข้อมูลมาจากกรมวัง ในวันที่ได้เข้าไปถ่ายภาพพระราชพิธีสรงน้ำพระบรมศพวันที่ 14 ตุลาคม ที่ผ่านมา)

            โอ้...พระองค์ท่านเครื่องทรงที่มีน้ำหนักมากถึง 20 กิโลกรัม พระองค์ทรงขืนพระวรกายที่ยังไม่แข็งแรงดีของพระองค์ ยันพระองค์เองเอาไว้ด้วยเวลาเนิ่นนานหลายชั่วโมง ท่ามกลางแสงแดดร้อนที่สาดส่องทั่วบริเวณ เพียงเพื่อให้ประชาชนของพระองค์ได้เห็น ได้ชื่นชมพระบารมี

            หลังวิวไฟน์เดอร์ ที่เคยมีน้ำตาที่แค่เอ่อๆ แต่ไม่ไหลล้น คราวนี้มันไหลล้นออกมาพร้อมเสียงสะอื้นไห้ “ผมรักในหลวงเหลือเกิน”

จากใจ “ลูก” ถึง “พ่อ”

วสันต์ วณิชชากร (ช่างภาพบ้านนอก)

อายุ 47 ปี

ช่างภาพ

20 ต.ค.2559

+++++

นักกีฬาทีมชาติไทยของพระราชา

            ตัวผมเองรับใช้ชาติในฐานะนักกีฬาทีมชาติไทยตั้งแต่อายุ 14 ปี ภาพที่เห็นอยู่บ่อยๆ ก่อนที่จะไปแข่งซีเกมส์ คือภาพที่ในหลวงทรงเรือใบ และภาพที่พระองค์ท่านทรงได้รับชัยชนะในการแข่งกีฬาแหลมทองครั้งที่ 4 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในปี พ.ศ.2510

            ถึงแม้ผมจะเกิดไม่ทันในปีนั้น แต่ภาพของพระองค์ท่านเป็นแรงบันดาลใจและกำลังใจอย่างยิ่งให้ผมพยายามที่จะดำเนินตามรอยพระองค์ท่านที่จะต้องคว้าเหรียญระดับนานาชาติมาให้ได้ นอกจากพระองค์ท่านเป็นแรงใจเรื่องพระปรีชาสามารถแล้ว พระองค์ท่านยังทรงเป็นแบบอย่างอันดีงามต่อนักกีฬาของชาติทุกๆ คนในเรื่องสปิริตนักกีฬา ซึ่งเป็นแนวทางที่ใช้ได้ทั้งในเกมกีฬาและชีวิตประจำวันของผมตลอดมา

            เหนืออื่นใด พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ดิเรกคุณาภรณ์แก่ผมและนักกีฬาที่ได้รับรางวัลระดับนานาชาติ ถือว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่ผมและครอบครัวอย่างหาที่สุดมิได้ ถึงแม้ผมจะไม่เคยรับเสด็จพระองค์อย่างใกล้ชิด แต่ความรู้สึกรักและเทิดทูนในหลวงนั้นมีอยู่เสมอ

            ต่อจากนี้ผมจะน้อมนำคำสอนของพระองค์ท่านเรื่องความเพียร การรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ไปสอนลูกหลานในการดำเนินชีวิต เพื่อให้สมกับบุญวาสนาของผมที่ได้เกิดมาบนแผ่นดินไทย เป็นนักกีฬาทีมชาติไทย ใต้ร่มพระบารมีของพระองค์ท่าน “พระมหากษัตริย์นักกีฬา”

จากใจ “ลูก” ถึง “พ่อ”            

วิชา รัตนโชติ

อายุ 39 ปี

นักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติไทย

18 ตุลาคม 2559

+++++

จากใจลูก...วันที่พ่อจากไกล

 

พ่อออกเดินทางไกล...ไกลไปหน่อย

ไม่อาจคอยดูแล...เช่นเดิมได้

คำสอนสั่งที่พ่อเคย...พร่ำสอนไว้

จำใส่ใจเอาไว้ใช้...ดูแลตน

 

จากวันนั้นถึงวันนี้...พ่อพร่ำบอก

ให้ยึดกรอบตามรอยพ่อ...จะเกิดผล

จงพอเพียงจงพอใจ...ภูมิใจตน

เกิดเป็นคนยึดมั่น...ทำสิ่งดี

 

แต่วันนี้พ่อเหนื่อย...พ่อขอพัก

ขอลูกรักจงเข้าใจ...ใช่พ่อหนี

พ่อยังคอยเฝ้าดูลูก...ทั่วปฐพี

อยู่ข้างในใจลูกนี้...ตลอดกาล

13.10.2559

...

 

ไม่ใช่ไม่รู้ ไม่เตรียมใจ ที่จะรับ

พอประจักษ์ จิตนั้น ก็สลาย

ทั้งที่รู้ ต้องมีวันที่ชีพวาย

แต่สุดท้าย ใจมลายไปพร้อมกัน

 

ตื่นขึ้นมายังนึกว่าคือฝัน

อยากย้อนวัน คืนผ่านที่สดใส

พ่อยังอยู่ คู่ฟ้าดินประเทศไทย

แต่ต้องทำใจ...เดินต่อไปให้มั่นคง

14.10.2559

...

 

นึกถึงพ่อสุดหัวใจ..อาลัยนัก

มิอาจหักห้ามจิต..ให้คิดได้

ไม่รู้พ่ออยู่สถาน..แห่งหนใด

สุดอาลัย..อยากย้อนไปเช่นวันวาน

 

วันที่พ่อมีความสุข...อยู่กับลูก

เราพันผูกด้วยจิต...ใช่ชิดใกล้

มองดูพ่ออยู่ห่างห่าง...แต่อุ่นใจ

สุขเกินใครอยู่ภายใต้...ความร่มเย็น

 

บ้านของพ่อสร้างให้ลูก..ประเสริฐนัก

คอยฟูมฟักดูแล..ไม่ห่างหาย

เจ็ดสิบปีใต้ร่มเงา..ทุกข์ร้อนคลาย

ทุ่มเทใจและแรงกาย..เพื่อทุกคน

15.10.2559

..............

พ่อหลวงนั้นจากไปไกล..ใช่จริงหรือ

เหมือนว่าคือเรื่องร้ายร้าย..ยามหลับฝัน

ตื่นขึ้นมาให้หายไป..โดยเร็วพลัน

แต่ว่านั่นกลับกลาย..เป็นเรื่องจริง

 

มันโหวงๆข้างใน...ก็รู้อยู่

เหมือนว่าใจจะไม่อยู่..กับตัวฉัน

มันหลุดลอยออกไปไกล..ตั้งแต่วัน

สิบสามเดือนตุลานั้น..เป็นต้นมา

 

อยากทำงานได้เหมือนเดิม..ตามพ่อบอก

ให้ยึดกรอบตามรอย..ที่สั่งสม

ต้องทำงานด้วยใจ..ใช่นิยม

ถึงขื่นขม..ต้องทำไป..ให้ได้ดี

18.10.50

จากใจ “ลูก” ถึง “พ่อ”

ศศิวิมล ลาภธนชัย

อายุ 39 ปี

ข้าราชการ

+++

ปาฏิหาริย์...  

            13 ตุลาคม 2559 

ฉันตัดสินใจวนรถจากวงเวียนใหญ่ทันทีเพื่อมุ่งหน้าสู่โรงพยาบาลศิริราช เพียงเพื่อหวังจะได้เห็นแถลงการณ์ฯ ฉบับที่ 39 

แปลกใจ...รถก็ยังแล่นอยู่บนถนน แต่จิตของฉันกลับลอยไปอยู่ที่ศิริราชเสียแล้ว 

            ที่ศิริราช...ผู้คนมืดฟ้ามัวดินมาจากทั่วทุกสารทิศ ต่างใส่เสื้อสีเหลืองสีชมพู บางคนในมือมีพระบรมฉายาลักษณ์ บ้างมีธง บ้างพนมมือสวดมนต์ นัยน์ตาทุกคนต่างเปี่ยมไปด้วยความหวัง ทุกคนต่างมีความเชื่อ...เชื่อในปาฏิหาริย์ 

            เสียงทรงพระเจริญแซ่ซ้อง กึกก้องไปทั่วบริเวณ ไม่น่าเชื่อว่าอยู่วังหลังยังได้ยินเสียงนี้ มีการร้องเพลงสดุดีมหาราชา สลับกับเพลงสรรเสริญพระบารมีตลอดเวลา...หวังว่าเสียงเล็กๆ นี้ จะเป็นกำลังใจ เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ ให้พ่อเข้มแข็ง 

            19.00 น. ทุกคนที่นั่นรับรู้ความจริงอันแสนรวดร้าวใจ... 

มันเป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก เสียงร่ำไห้ดังระงมไปทั่ว... ไม่ใช่แค่ที่ศิริราช แต่ทั้งแผ่นดิน 

ฉันขับรถกลับบ้านด้วยความรู้สึกที่หวิวๆ สารคดีเฉลิมพระเกียรติถูกเปิดไปสลับกับแถลงการณ์นายกฯ 

ฉันอยากร้องไห้ แต่มันร้องไห้ไม่ออก...

            บ้านเรือนสองข้างทางยังคงมีธงสีเหลืองประดับอยู่ มีภาพพระองค์ท่านติดอยู่ทุกๆ บ้านเหมือนเดิม มีประโยค “ทรงพระเจริญ” ตลอดทาง แต่พ่อฉันไม่อยู่แล้ว... แถลงการณ์ฯ ฉบับที่ 39 ถูกแทนที่ด้วยประกาศสวรรคต  

            นาม “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ถูกต่อท้ายด้วยคำว่า “ในพระบรมโกศ”  

            พ่อครับ.. ลูกรู้ ว่าสังขารคนเราไม่จีรัง

            ลูกรู้.. ว่าสักวันต้องมีวันนี้ 

            ลูกสารภาพว่าลูกก็เตรียมใจ 

            ลูกรู้ว่าสักวันต้องมีวันนี้ 

            แต่มันอาจจะมาเร็วเกินไป... 

            พ่อครับ.. ลูกสัญญา ว่าลูกจะตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ลูกจะนำความรู้ทั้งหมดที่มี อุทิศแรงกายแรงใจ เพื่อพัฒนาประเทศของเรา เป็นหนึ่งในฟันเฟืองเล็กๆ ในการขับเคลื่อนประเทศเราให้ก้าวไกลทัดเทียมนานาประเทศ จะไม่ยอมให้ใครมาดูถูกประเทศของพ่อได้ 

            70 ปีที่พ่อทรงงาน ลูกรู้พ่อเหนื่อย 70 ปีคือหนึ่งชั่วอายุคน แต่ 70 ปีคือปีที่พ่อทำงานไม่หยุดหย่อน ตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิต...

            พักผ่อนเถิดพ่อ พ่อเหนื่อยมามากแล้ว ถึงเวลาที่พ่อต้องพักผ่อนแล้ว ส่วนรูปของพ่อที่บ้าน ลูกจะไม่ปลดลง ถึงแม้วันนี้พ่อจะไม่อยู่แล้ว แต่พ่อก็คือพ่อ คือพ่อหลวงของคนไทยทั้งชาติ ตราบชั่วนิรันดร์กาล “ลูกภูมิใจที่เกิดมาภายใต้พระบรมโพธิสมภารของพ่อหลวงรัชกาลที่ 9” หลับให้สบายครับพ่อ

            น้อมแสดงความอาลัยและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ 

จากใจ “ลูก” ถึง “พ่อ”

ข้าพระพุทธเจ้า 

นายคณิน อารีวานิช 

นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 

อายุ 18 ปี

+++++

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ