คอลัมนิสต์

พระราชอารมณ์ขัน “องค์ภูมินทร์”

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เรื่องเล่าจากบนดอยเกี่ยวกับพระราชอารมณ์ขันของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ฟังเมื่อไหร่จะมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะออกมาทุกครั้ง


               พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช หรือ "ในหลวงของเรา" กับการทรงงานหนักเพื่อชาวไทย พระองค์ทรงผ่านมาแล้วนับพันหมื่นเส้นทาง ทุกแบบ ทุกสาย ทั้งราบเรียบ ขรุขระ ลึกลุ่ม และสูงชัน

               แน่นอนว่าระหว่างทางย่อมมีเรื่องเล่า และหลายเรื่องเล่าได้สร้างสมความจงรักภักดี และเทิดทูนบูชาเหนือดวงใจไทยทุกคน

               หากหนึ่งในนั้น ยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระราชอารมณ์ขันของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ฟังเมื่อไหร่จะมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะออกมาทุกครั้ง

               อย่างเรื่องเล่าของ “ในหลวงกับชาวเขา” ในหนังสือ “พระราชอารมณ์ขัน” ซึ่งค้นคว้าและเรียบเรียงโดย วิลาศ มณีวัต ที่ตอนหนึ่งเล่าว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทางโปรดการเสด็จฯ เยี่ยมราษฎรตามภาคต่างๆ เช่น หมู่บ้านชาวมุสลิมทางภาคใต้ และชาวนาในภาคกลาง

               หรือเสด็จขึ้นไปไกลถึงยอดเขา และดอยต่างๆ เช่น ดอยอ่างขาง ติดพรมแดนพม่า อันเป็นที่อยู่ของชาวเขาเผ่าลาฮู เผ่าเย้า และพวกฮ่อ ซึ่งทำมาหากินด้วยการค้าหยก และฝิ่นมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย

 

พระราชอารมณ์ขัน “องค์ภูมินทร์”

 

               มีครั้งหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ต้องทรงทำหน้ที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเกี่ยวกับกับปัญหาครอบครัว เช่น ชาวเขาคนหนึ่งได้มากราบบังคมทูลร้องทุกข์ว่า เขาได้ให้หมูสองตัวกับเงินก้อนหนึ่งแก่เมีย แต่เมียพอได้เงินแล้ว กลับหนีตามชู้ไป พระองค์ก็ทรงตัดสินว่า สามีจะต้องได้รับเงินชดใช้ และให้ปล่อยภรรยาไปตามใจของเธอ ญาติของทั้งสองฝ่ายก็พอใจ

               รับสั่งเล่าด้วยพระอารมณ์ขันว่า “แต่ที่แย่ก็คือ...ฉันต้องควักเงินให้ไป...หญิงผู้นั้นก็เลยต้องตกเป็นของฉัน” รับสั่งแล้วก็ทรงพระสรวล

               สักครู่หนึ่ง หญิงผู้นั้นก็นำสุราพื้นเมืองมาถวาย ทรงรับสั่งว่า

               “ถ้าฉันเมาพับไป อะไรจะเกิดขึ้นก็รู้ไม่ได้”

               นอกจากนี้ หลายคนอาจเคยผ่านตา กับภาพในหลวงทรงนั่งประทับบนพื้นเรือน ฝาไม้ไผ่ขัดแตะ และมีบุคคลในชุดกากีท่านนึง กำลังยื่นจอกตะไล ไปสัมผัสกับจอกตะไลอีกใบ

 

พระราชอารมณ์ขัน “องค์ภูมินทร์”

 

               ข้อมูลบางแหล่งระบุว่าภาพนี้ ถ่ายเมื่อปี พ.ศ. 2512 เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินโดยเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่ง เพื่อทรงเยี่ยมราษฎรชาวไทยภูเขา ที่บ้านห้วยผักไผ่ ตำบลม่อนปิน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่

               หากแต่บางแหล่งระบุว่า เป็นภาพเมื่อครั้งที่เสด็จเยี่ยมราษฎรที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนเมื่อปี 2512 ซึ่งเป็นข้อมูลอ้างอิงจาก หนังสือ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับโครงการหลวง” โดย หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี ที่เล่าว่า

               คราวนั้น ในหลวงได้ทรงพบกับ “แสนคำลือ” ผู้ใหญ่บ้านมูเซอแดง ซึ่งมีอายุกว่า 70 และในการต้อนรับ “แสนคำลือ” ก็รับเด็กสาวอายุ 15 หยกๆ มาอยู่ใกล้ๆ บางแหล่งระบุว่า แสนคำลืออุ้มไว้กับตัว

               ในหลวงทรงรับสั่งถามว่าหลานสาวหรือ “แสนคำลือ” กราบทูลว่า “บ่ไจ้ลูกเฮา” ...

               แต่สาวน้อยคนนั้น คือ ภรรยาคนปัจจุบัน (ในตอนนั้น) ของแก โดยแสนคำลือกราบทูลในหลวงต่อว่า “คนอื่นอีก 3 - 4 คน มันแก่ตายหมดแล้ว”

               จากนั้น ผู้ใหญ่บ้านแสนคำลือ เชิญในหลวงเสด็จฯ “ไปแอ่วบ้านเฮา” ในหลวงก็เสด็จ แต่บ้านของผู้ใหญ่อยู่บนยอดเนินสูงชันมาก ทีนี้ ขบวนเสด็จคราวนั้น มีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ของจังหวัดเดินนำตามตำแหน่งหน้าที่ แต่บังเอิญนายตำรวจท่านนั้นหุ่นไม่เหมาะจะไต่ดอย ดังนั้น เมื่อขึ้นไปได้สักครู่ก็ออกยืนระวังตรงข้างทางแล้วถวายความเคารพ

               เมื่อในหลวงเสด็จฯ ผ่านนายตำรวจที่ยืนพักโดย (แกล้งทำเป็น) ยืนระวังตรง พระองค์ก็ทรงชี้ไปที่แสนคำลือที่เดินมาด้วย..แล้วรับสั่งสั้นๆ ว่า…“70”

               นายตำรวจหลายนายได้ยิน ก็ออกเดินต่อทันที …เพราะไม่อยากยอมแพ้ลุงอายุ 70

               ในการต้อนรับ แสนคำลือก็นำน้ำจัณฑ์มาถวาย โดยเป็นสูตรพิเศษที่เล่ากันว่าใส่เขากวางอ่อน ใส่พริกไทย 3 เม็ด กระดูกเสือไปด้วย คงเป็น “ยาดี” เพราะทำให้เขา ซึ่งอายุ 70 มีเมียสาว 15 ได้สบายๆ แถมยังสามารถแบกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขึ้นหลัง โดยมีพระราชินี ตบพระหัตถ์เชียร์อีกด้วย

 

พระราชอารมณ์ขัน “องค์ภูมินทร์”

 

               อย่างไรก็ดี ในแหล่งอื่นๆ ยังได้เล่าถึงเหตุการณ์ต่อจากนั้น ซึ่งอ้างถึงคำบอกเล่าของ ม.จ.ภีศเดช รัชนี ประธานมูลนิธิโครงการหลวง ที่ได้อยู่ร่วมในเหตุการณ์ดังกล่าวว่า หลังจากที่ในหลวงท่านเสด็จถึงบ้าน “แสนคำลือ” ผู้ใหญ่บ้านมูเซอแดง ซึ่งเป็นบ้านทำด้วยไม้ไผ่และมุงหญ้าแห้ง จากนั้นเอาที่นอนมาปูให้ท่านประทับ แล้วเอาเหล้าใส่ ถ้วยตะไลเล็กๆ มาให้ท่านเสวย

               "เขาเอาที่นอนมาปูสำหรับประทับ แล้วรินเหล้าทำเองใส่ถ้วยที่ไม่ค่อยจะได้ล้าง จนมีคราบดำๆ จับ ผู้เขียนรู้สึกเป็นห่วง เพราะตามปกติไม่ทรงใช้ถ้วยมีคราบ (ผิดกับผู้เขียน) จึงกระซิบทูลว่า ควรจะทรงทำท่าเสวย แล้วส่งถ้วยมาพระราชทานผู้เขียนจัดการ แต่ก็ทรงดวดเอง กร้อบเดียวเกลี้ยง ตอนหลังรับสั่งว่า “ไม่เป็นไร แอลกอฮอล์เข้มข้นเชื้อโรคตายหมดแล้ว”

               อย่างไรก็ดี จากการที่ได้เสด็จพระราชดำเนินมาในครั้งนี้ ได้ทรงตั้งโครงการหลวงส่วนพระองค์ เพื่อใช้เป็นสถานีวิจัยและทดลองปลูกพืชเมืองหนาวชนิดต่างๆ ทั้งไม้ผล ผัก และดอกไม้เมืองหนาว เพื่อเป็นตัวอย่างแก่เกษตรกรชาวเขา ในการนำพืชเหล่านี้ มาเพาะ ปลูกเป็นอาชีพ แทนการปลูก ”ฝิ่น” ซึ่งต่อมา ได้พระราชทานนามว่า “สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง”…

 

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ